เพราะเป็นวัยรุ่น …
หนังสือ “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” เป็นการถ่ายทอดมุมมองและประสบการณ์ในการใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่น ทั้งเรื่องการสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย ไปจนถึงมุมมองในการดำเนินชีวิตและการค้นหาตัวเอง ผู้แต่งได้สะท้อนชีวิตและปัญหาที่คล้ายกันของคนในปัจจุบันที่อาจจะกำลังหลงไปกับกระแสสังคม หรือกำลังเหน็ดเหนื่อยและสับสนกับชีวิต ที่อยากแนะนำให้วัยรุ่นอ่านหนังสือเล่มนี้ก็เพราะวัยรุ่นเป็นวัยที่กำลังค้นหาตัวตน ว่าจะเลือกเดินไปทางไหนดี หนังสือเล่มนี้ไม่ได้บอกคำตอบว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด หากแต่ให้มุมมองและแง่คิดให้เรานึกย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง ทบทวน…ไม่ใช่เพื่อไม่ให้ต้องเจ็บปวดอะไรอีกเลยในชีวิต แต่เพื่อให้เจ็บปวดกับสิ่งที่ควรค่าแก่การเจ็บปวดเท่านั้น ไม่เพียงแต่วัยรุ่นที่สมควรอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่เชื่อว่าหากผู้ใหญ่หลายคนได้อ่านคงจะรู้สึกว่าเราผ่านวัยเหล่านี้มาได้อย่างไรกันทำไมไม่มีใครบอกเราแบบนี้บ้าง
หนังสือเล่มนี้มีคำอุทิศด้านในจากผู้เขียนว่า “แด่จุน ลูกชายที่รักของพ่อซึ่งอายุกำลังจะครบยี่สิบ”
ผู้เขียน (คิม รันโด) เรียนจบด้านกฎหมายในระดับปริญญาตรี ด้านบริหารธุรกิจในระดับปริญญาโท และจบปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มทำงานเป็นอาจารย์ประจำที่ภาควิชาการบริโภค คณะเคหศาสตร์ มหาวิทยาลัยโซล ได้รับการยกย่องว่าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่ดี ได้รับรางวัลมากมาย เช่น “รางวัลการศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยโซล” “รางวัลวิชาเรียนดีเด่นแห่งมหาวิทยาลัยโซล” “รางวัลที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกดีเด่น” ฯลฯ
คิม รันโด เปรียบชีวิตวัยรุ่นว่า หากเป็นจิ๊กซอว์คงต่อยากที่สุดเพราะเป็นช่วง ที่ค้นหาตนเอง ไม่แน่ใจว่าจะเลือกเดินทางใด หลายคนเผลอใช้ชีวิตไปโดยไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร
หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 4 PART
PART 1 คำตอบนั้นไม่อาจหาได้จากที่ไหนนอกจากนัยน์ตาของคุณ
ชีวิตนักศึกษาช่างผ่านไปรวดเร็ว ทุกคนต้องคำนวณหน่วยกิต วิชาเอก วิชาโท เพื่อจะได้จบใน 4 ปี ความรู้ในมหาวิทยาลัยอาจไม่เพียงพอต่อการหางานทำ บางคนจึงต้องพยายามเพิ่มความสามารถพิเศษและหาประสบการณ์เสริมเข้าไป บัณฑิตจบใหม่ที่ยังว่างงานอยู่วันของพวกเขาจะผ่านไปอย่างร้อนใจและท้อแท้ ผู้เขียนให้แง่คิดว่าชีวิตจริงเปรียบกับนาฬิกา การเริ่มต้นไม่มีอะไรสายเกินไป โดยเปรียบเทียบอายุด้วยการคำนวณนาฬิกาชีวิตว่า (น.5) ถ้าเวลา 24 ชั่วโมงมีค่าเท่ากับ 1,440 นาที ชีวิตที่มีอายุขัย 80 ปี จะมีค่าเท่ากับปีละ 18 นาที ใช้สูตรนี้คำนวณเวลาได้ทุกช่วงชีวิต
อายุ 10 ปี จึงเท่ากับ 3 ชั่วโมง อายุ 20 ปี จะตรงกับเวลา 6 โมงเช้า อายุ 24 ปี จะตรงกับเวลา 7.12 น. เป็นเวลาซึ่งมนุษย์ข้ามผ่านวัยเยาว์และความคึกคะนองมาเกือบหมดแล้วและต้องเตรียมพร้อมสู่การเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างจริงจัง
คนอายุ 48 ปี จะตรงกับ 14.24 น. ยังมีเวลาเหลือให้ทำงานอีกเยอะเพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน คนอายุ 60 ปีในวัยเกษียณจะตรงกับเวลา 6 โมงเย็น เป็นเวลาที่คนส่วนใหญ่เลิกงานและกำลังกลับบ้าน หรือไม่ก็กำลังรับประทานอาหารกับครอบครัวอย่างมีความสุข
ผู้เขียนเปรียบเทียบความสำเร็จในชีวิตว่าคนเราแต่ละคนอาจประสบความสำเร็จในชีวิตไม่เหมือนกัน บางคนประสบความสำเร็จเร็วบางคนประสบความสำเร็จช้า เปรียบเสมือนดอกไม้แต่ละชนิดผลิบานในฤดูกาลของมันเอง ตอนนี้อาจยังไม่ถึงช่วงเวลาของคุณ อาจสายไปหน่อยเมื่อเทียบกับคนอื่นแต่ถ้าฤดูนั้นมาถึงคุณจะงดงามไม่แพ้ดอกไม้ชนิดอื่น ในช่วงเวลาที่ต้องรอคอยจงเตรียมตัวให้พร้อม (น.23)
ให้ทบทวนกับตัวเองว่า ฉันต้องการอะไร ฉันทำอะไรแล้วมีความสุข ฉันทำอะไรได้ดีที่สุด ฉันเป็นใคร อย่าเลือกงานเพราะความมั่นคงหรือเงินเดือนสูง การเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังไม่ใช่เครื่องยืนยันความสำเร็จที่แท้จริงต้องพิจารณาความสนุกของตัวเองในการทำงานด้วย การทำงานที่สนุกและเหมาะกับความสามารถเป็นหลักประกันความมั่นคงและรายได้ที่แท้จริง
การออมเงินต้องมีความพร้อมระดับหนึ่งคนที่งานและรายได้ยังไม่แน่นอนไม่ควรฝากเงินประจำทุกเดือนเท่าๆ กัน ตัวอย่างนักแสดงตลกมัวแต่หมกมุ่นหาเงินด้วยการทำงานพิเศษมากจนลืมหาเวลาว่างคิดมุขตลกเพื่อแสดงเท่ากับว่าไม่ได้แจ้งเกิด การบริหารจัดการที่ดีที่สุด คือการลงทุนในความสามารถของตัวเราเองแม้งานที่ทำอาจไม่ได้เงินแต่เมื่อใดที่เราประสบความสำเร็จตรงนี้เงินทองชื่อเสียงจะหลั่งไหลมาเองเท่ากับได้สิ่งตอบแทนทบต้นที่หายไป
ก่อนที่เราจะเริ่มทำงานใดๆ ไม่ใช่เอาแต่ “ขยันทำงานนั้นโดยไม่สนใจสิ่งใด” แต่ต้องมีเป้าหมายที่แน่ชัดว่า “จะทำงานนี้ไปทำไม” สิ่งที่สำคัญคือประสบการณ์ ต้องลงมือทำจริง ต้องอ่านหนังสือ พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ต้องออกไปเที่ยวเพื่อค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตนเอง (น. 55-56)
โลกนี้เต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือดหากแพ้แล้วไม่รู้จักยอมรับชัยชนะของผู้อื่นเอาแต่ริษยาการแข่งขันครั้งหน้าก็คงออกมาเหมือนเดิม จงอิจฉาแทนริษยายอมรับความสำเร็จของผู้อื่น ค่อยๆเรียนรู้และเอาชนะอุปสรรค วันนี้คือเวลาที่มีค่ามากอย่าเลื่อนสิ่งที่ต้องทำในวันนี้ ไปทำพรุ่งนี้ ไม่ควรขี้เกียจจนติดเป็นนิสัยเพราะจะทำให้ตัวเองถดถอย วิธีแก้ไข 1) อย่าลุ่มหลงไปกับความขี้เกียจ 2) จงเคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกาย พบผู้คน ทำงานที่อยากทำ อย่าดื่มเหล้า เข้านอนเร็วๆ 3) อย่าจมอยู่กับความหดหู่ (ความขี้เกียจ) และความเศร้า
Part 2 พื้นไม่ลึกเท่าที่คิด
เมื่อรู้สึกทุกข์ จะต้องตระหนักให้ได้ว่าเดี๋ยวเราก็ข้ามผ่านมันไปเองและมันคือพลังยิ่งใหญ่ที่จะช่วยผลักดันเรา บางครั้งคนเราไม่กล้าที่จะโดดลงมาพื้นเบื้องล่างไม่ยอมรับความจริงว่าเราไม่เหมาะกับด้านนี้เลยแต่ก็ยังทนที่จะทำหรือสอบให้ได้เหมือนคนอื่นเขาโดยไม่ดูว่าความเป็นตัวตนของเรานั้นเป็นอย่างไร เปรียบเหมือนเรากำลังดึงเชือกอยู่ยอมให้เชือกบาดมือเพราะไม่แน่ใจว่าหากเราปล่อยมือจากที่ตรงนี้แล้วเราจะได้งานที่ดีกว่าหรือไม่จึงต้องยอมทนไป สังคมสมัยใหม่เต็มไปด้วยการแข่งขันเต็มรูปแบบ ถ้าไม่พยายามอย่างต่อเนื่องความสามารถที่เรามีอาจล้าหลังได้ทุกเมื่อ แง่คิดคือหากเรากำลังลำบากให้มองคนที่ลำบากกว่า แต่เมื่ออยากได้ดีให้เงยหน้ามองคนที่อยู่สูงกว่า
PART 3 ปาฏิหาริย์คือสิ่งที่สำเร็จได้ทีละเล็กทีละน้อย
การฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอซ้ำๆ เริ่มต้นจาก “วันนี้” ไม่มีคำว่าพรุ่งนี้เพื่อทำให้เป้าหมายที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นจริงสำเร็จได้จริง ให้งดงานอดิเรกที่ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิต (น. 159) โดยแนะนำว่าถ้าลงทุนเรื่องใดก็ตามวันละ 1 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 1 ปี จะต้องเกิดอะไรดีๆ ขึ้นในชีวิต เช่น จำคำศัพท์และอ่านนิตยสารภาษาอังกฤษรายสัปดาห์ทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง (น.171) ผู้เขียนพบว่าภาษาอังกฤษดีขึ้นและช่วยชีวิตเขาไว้มากมาย เช่น ให้อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวันเพราะมีข้อมูลครบถ้วน
สิ่งที่ยากลำบากของคนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัย คือ ความคาดหวังของคนรอบข้าง การจัดการตนเอง และความอดทน หากสอบไม่ได้พ่อแม่และตัวเองจะผิดหวังมาก การสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามความคาดหวังของพ่อแม่ คือปราการด่านแรกที่วัยรุ่นจะรู้สึกทรมานใจในฐานะลูก เพราะต่อไปเขาจะถูกคาดหวังมากขึ้นและมากขึ้นอีก ถ้าวันนี้ไม่รู้จักข่มใจพรุ่งนี้ก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จได้ ถามตัวเองให้กระจ่างก่อนว่าในอนาคตฉันอยากเป็นคนแบบไหน ปัจจุบันนี้ฉันกำลังทำอะไรอยู่ คนที่จะอยู่รอดได้ต้องสามารถนำความรู้จากวิชาเอกของตัวเองไปปรับใช้กับความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป หมั่นแสวงหาความรู้หลากหลายที่อยู่รอบกาย ความสำเร็จของชีวิตไม่ใช่ความสำเร็จยิ่งใหญ่เพียงครั้งเดียวแต่เป็นการถักทอชัยชนะขึ้นทุกวัน
ความสัมพันธ์ที่ดีจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองก่อน ความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นเรื่องยากที่จะสนิทกันอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงมักได้ยินคำพูดว่าเพื่อนสมัยประถม มัธยมนั้นตัดกันไม่ขาด พอเป็นนักศึกษาเป็นผู้ใหญ่จริงๆ เลยไม่รู้จะวางตัวอย่างไรให้เหมาะสม ความสัมพันธ์จึงเปราะบางกว่าอดีตเพราะคนสมัยนี้มีความเป็นปัจเจกชนสูง เราอาจได้ยินผู้ใหญ่พูดว่า “ตอนอายุเท่าเธอ ฉันทำนั่นทำนี่” ซึ่งคนแต่ละยุคสมัยเติบโตขึ้นมาในแบบแผนที่ตนเองรับรู้และเข้าใจ ดังนั้นการบังคับคนรุ่นอื่นจากประสบการณ์ของตัวเองจึงไม่ใช่สิ่งสมควรนัก
PART 4 “พรุ่งนี้” นำทางชีวิต “งานของฉัน” นำทางชีวิต
จงพาชีวิตไปตามการตัดสินใจ ลูกส่วนมากมักคิดว่าต้องทำตามที่แม่บอกเพราะแม่คือผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดู ความเสียสละของแม่มากเกินจะพรรณนาดูแลรักเรามากที่สุด ท่านจะคอยอยู่เคียงข้างและค้ำจุนเป็นกำลังใจให้เราเสมอ ทำตัวเป็นผู้จัดการส่วนตัวประมาณว่าลูกเรียนอย่างเดียวก็พอที่เหลือแม่จัดการเอง แม้ลูกจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยและเรียนจบทำงาน แต่งงานแล้วหน้าที่แม่ก็ยังไม่จบสิ้นยิ่งพ่อแม่มีการศึกษาสูงประสบความสำเร็จทางสังคมเป็นอย่างดีจะยิ่งบงการชีวิตลูก คนรุ่นใหม่ที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้จึงถูกเรียกว่า คนรุ่นดาวเทียม หรือ ลูกจิงโจ้ ซึ่งจริงแล้วไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนักเพราะท้ายที่สุดแล้วชีวิตที่แท้จริงของมนุษย์คือทุกสิ่งทุกอย่างที่นอกเหนือจากการเรียนที่แม่ทำแทนมาตลอด ควรตัดสินใจด้วยตัวเองหัดเดินด้วยตัวเองไปแล้วจะเห็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบ เปรียบดังลูกเจี๊ยบกะเทาะเปลือกไข่ของตนเองจนแตกและออกมาเองมันจะมีชีวิตรอด แต่ถ้ามันถูกคนอื่นทำให้เปลือกไข่แตกก่อนมันจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของผู้อื่น
จุดบอดของวัยรุ่นยุคนี้คือเก่งแต่เรียนไม่ค่อยประสีประสาในชีวิตจริง การทำงานได้ดีไม่เกี่ยวกับการเรียนในมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยไม่ใช่เส้นชัยแต่คือจุดออกตัวสู่การแข่งขันอีกครั้ง ประวัติและผลงานต่างๆ เป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้ได้งานง่ายขึ้นสิ่งที่ควรแสดงให้บริษัทเห็นไม่ใช่รายชื่อผลงานและประวัติการศึกษาที่มีมาตลอดชีวิตแต่ต้องแสดงเรื่องราวของตัวเองเพื่อยืนยันว่าเรามีศักยภาพที่ซ่อนอยู่มากล้นเพียงพอต่อการทำงาน ต้องรู้ว่าตัวเองเก่งอะไรที่สุด บริษัทต้องการคนที่ทำงานเป็นจริงๆ การทำงานในบริษัทขนาดเล็กมีบ่อยครั้งที่เราต้องทำงานมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานของตนเองแม้จะรู้สึกหงุดหงิดและน่าเบื่อหน่ายแต่ท้ายที่สุดคุณจะทำงานเป็นทุกหน้าที่ งานที่สำคัญที่สุดในชีวิตไม่ใช่งานแรกแต่เป็นงานสุดท้ายอย่ารีบร้อนตัดสินผลแพ้ชนะจากการประลองครั้งแรกต้องดูนานๆ ถึงจะรู้ว่าท้ายที่สุดใครเป็นผู้ชนะ
คนหนุ่มสาวควรมีสามสิ่งเมื่อเรียนอยู่มหาวิทยาลัยคือ ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ และความฝันที่ยิ่งใหญ่ ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าฉันเป็นใคร มีเป้าหมายอะไร จะไปที่ไหน ก็แค่ไป สิ่งที่เลวร้ายมากกว่าการทำผิดพลาดคือไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย ถ้าเรือจอดอยู่ที่ท่าอาจปลอดภัยที่สุดแต่เรือไม่ได้ถูกสร้างเพื่อจอดไว้เฉยๆ เรือจะมีคุณค่าเมื่อได้ออกทะเลผจญคลื่นลม เช่นเดียวกับประตูถ้าไม่ได้ถูกเปิดออกเลยประตูเหล่านั้นก็ไม่ต่างจากผนัง จงเปิดประตูเหล่านั้นออกและใช้โอกาสแห่งวัยหนุ่มสาวลองผิดลองถูกดู (น. 245) อย่าหวั่นไหว ความเจ็บปวดนี้ภายหลังจะกลายเป็นเชื้อเพลิงให้ชีวิตของเราลุกโชติช่วงขึ้น
สนใจอ่านฉบับเต็มได้ที่
BJ1668.ท9 ค65 2555
คิม, รันโด. (2555). เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด. วิทิยา จันทร์พันธ์ แปล. กรุงเทพฯ : Springbooks, 2555. 247 หน้า.
One thought on “เพราะเป็นวัยรุ่น …”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
พีนก ชอบมากค่ะใช้เป็นแนวทางในการคิดได้ตั้งแต่ผู้ใหญ่ วัยกลาง วัยรุ่นเลยค่ะ