เหล่าตั๊กลั๊ก : เรื่องอยากเล่า…ตลาดเก่าชุมชนริมน้ำคลองลัดพลี

011

เหล่า  แปลว่า  เก่า  แก่  เช่น เหล่าอี๊ ก็ อี๊แก่ๆ อู้ยยยย…ม่ายช่ายๆ  อี๊ ธรรมดา หมายถึงญาติผู้หญิงข้างพ่อที่อ่อนวัยกว่าพ่อ เรียกง่ายๆ ว่า อาผู้หญิง ดังนั้น เหล่าอี๊ จึงหมายถึงญาติเพศเดิมข้างพ่อที่แก่กว่าพ่อ หรือ เรียกให้ไม่งง..ก็ป้านั่นเอง คงไม่ต้องระบุเพศว่าป้าผู้หญิงเพราะไม่มีป้าผู้ชาย คำว่า เหล่าพี่ไทยเจ้าบทเจ้ากลอนอย่างเราๆ ชอบต่อสร้อยเสียง ช่วยเพิ่มน้ำหนักความหมายท้ายคำให้หนักแน่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนำมาใช้กับสิ่งมีชีวิต คือผู้หญิงที่อีกฝ่ายมักอยากขายทอดจากชีวิต ว่า เก่าเหลาเหย่…แหมใครโดนคำนี้เข้าไป คงชีช้ำกล่ำปลี…… 😥

ตั๊กลั๊ก  หมายถึง  ตลาด  คาดเดาจากประสบการณ์ในชีวิตจริงที่มี อาโผ” (…เราไม่มี อาม่าเพราะเราไม่ได้มีเชื้อสายแต้จิ๋ว หากแต่เป็นจีนกลางที่ศัพท์ภาษาบางถ้อยคำที่เปล่งวาจาไม่อาจทราบได้ว่าคนในเมืองเขาจะเรียก จางเควยอี่ ด้วยรึเปล่า…แต่ทุกครั้งที่มีชาวจีนพลัดเข้ามาปะทะให้รื้อฟื้นความทรงจำทางภาษา ก็พองูๆ ปลาๆ ..หนี่จ่างเควยอี่มา…หนี่จ้ายหนาหลี่…หนี่เจี่ยวเซินเมอเหริน…กล้อมแกล้มพอได้พูดคุยให้หายคิดถึงรากเหง้าบรรพชน) เลยเดาเอาว่า ตั๊กลั๊ก เป็นคำที่เพี๊ยนเสียงจากการพยามยามเรียกคำว่า ตลาดของชาวจีน เหมือนที่อาโผเราเรียกกรุงเทพเมืองฟ้าอมร(…ก่อนการสลายการชุมนุม ๑๙ พ.ค.๕๓…เพราะหลังจากนั้นเมืองฟ้าอมร ก็กลายเป็นทะเลเพลิง จารึกไว้ในประวัติศาสตร์เลือดบนวิถีการเมืองไทยอีก ๑ บทเรียน และอดที่จะคิดไม่ได้ว่าคนที่เกิดบนผืนดินแผ่นนี้ เป็นเศษเสี้ยวส่วนใดของประวัติศาสตร์หน้านี้…เอ…อันนี้ไม่เกี่ยวกับตลาดเก่านิ…ข้ามไปดีกว่า…) อาโผเรียกกรุงเทพฯ ว่า มั่งกั๊วซึ่งเราเดาภาษาแบบของเราเองว่า อาจเป็นการเพี้ยนคำมาจากบางกอกที่เพี๊ยนจาก Bangkok…บางกอก…แบงก๊อก…มั่งก๊อก…ออกเสียงสั้นมั่งยาวมั่งเลยเป็น…มั่งกั๊ว…ตามเสียงที่เราได้ยิน** (** หมายถึง กรุณาอ่านต่อจนพบความเยิ่นเย้อเพิ่มเติมย่อหน้านี้ ท้ายเรื่องคร้าาา)

สรุปสั้นๆ หลังจากแพล่ม…(อันนี้น่าจะเป็น past tense หรือ ศัพท์บัญญัติใหม่ของโจ๋วัยมันส์…หมายถึง…พล่าม) นี่ขนาดบอกจะสรุป…ยังยาวววววววววววว ก็…อดไม่ได้ดอก…ไม่แพล่มไม่ได้…เสียเอกลักษณ์ 55+ เอ้า สรุป!!   เหล่าตั๊กลั๊ก ก็คือ ตลาดเก่านั่นเอง

หมายเหตุ  ศัพท์แสงในเกริ่นนำข้างต้น อยู่ในระดับ ผู้รู้ทางภาษากรุณาชี้แนะ และไม่แนะนำให้อ้างอิง เพราะเป็นภูมิรู้แบบคาดเดาเฉพาะบุคคล…. 😉

…………………………..

เข้าเรื่องดีกว่า…

บทที่ ๑ หมายเหตุความรู้สึก

ถาม(เอง)…..ทำไมนำความรู้สึก…เป็นปฐมบท

ตอบ(เอง)….เพราะว่า…ก่อนจะเข้าสู่เรื่องราวจากประสบการณ์ที่พบเห็นในห้วงเวลาสั้นๆ แบบ…ของใครของมัน…(ทำไมไม่ของเผือกมั่งนิ) เราอยากให้ใครก็ตาม…ที่พลัดหลง click เข้ามาดู มาอ่าน ถ้อยความตรงนี้ อ่าน และ ดู ไปด้วยความรู้สึกเดียวกับเรา เพราะถ้าคุณเกิดความรู้สึกขัดแย้ง รำคาญ ตั้งกะอ่านบรรทัดแรกจนมาถึงตรงนี้ ก็ยังไม่มีความรู้สึกอยากร่วมกับสิ่งที่เราอยากเล่า จากความรู้สึก…ของเราเอง แนะนำให้ back กลับไปยัง page ก่อนหน้าเพราะบทพรรณาเรื่องนี้กินความยาว 8 ตอนจบ 🙄

………………………….

นอกจากสภาพเดิมเดิม ของชุมชน…ที่ยังคงดำรงอยู่…ในวันนี้ นอกจากรอยยิ้ม และไมตรีที่ได้รับสำหรับคนหน้าแปลก เอ้ยยยยย คนแปลกหน้าอย่างพวกเรา ที่อาจจะลง เรือคนละลำเดียวกันกับกลุ่มคณะ…

ด้วยเห็นว่าเป็นทริป ฉฉ.ฉพก.ที่ดูกำหนดการแล้ว…คิด(เอาเอง) ว่า…ไม่ซีเรียสนัก คณะผู้ก่อการอย่างพวกเรา…คนส่วนน้อยที่มีความสนใจร่วมบางสิ่ง…สนใจต่างในบางอย่างจึงเพื่อความสะดวก…ไม่ขัดแย้งในความสนใจที่ต่าง เลยชักชวนกันอยู่ในกรอบโดยมีจุดหมายแรกเช่นเดียวกับกลุ่มคณะ…เหล่าตั๊กลั๊ก

และอาจเป็นด้วยจังหวะของชีวิต โดยมิได้นัดหมายวิถีเรียนรู้ชุมชนของคณะเราในเช้านี้จึงได้พบไมตรีแรก…ลุงโอภาส…ชาวชุมชนที่เผอิญถีบจักรยานเตรียมออกมารับคณะท่องถีบ…จักรยานชมชุนชน แต่กว่าจะรู้ว่าลุงแกมาเตรียมการอะไรแต่เช้า คณะเราก็ล่องเรือไปจนถึงหน้าวัด…ด้วยฝีพายของลุงนั่นเอง

บทที่ ๒  สัญจรบนบาทวิถี

เรื่องก็มีอยู่ว่า ขณะที่คณะของเรากำลังพากันหาทางเดินขึ้นบนคันขอบริมคลองอันเป็นบาทวิถีของชุมชน หนุ่มเดียวคนนี้ของกลุ่ม ผู้ทำหน้าที่ทั้งโชเฟอร์และคามีร่าแมน กะลังตะกายคันขอบ เราก็เลี่ยงมาหาทางที่ต่ำๆ เดินง่ายๆ เพราะรู้ตัวว่าสังขารไม่อำนวยกิริยา ตะกาย”  สาวๆ (…เหลือน้อย) ที่ตะแรกเดินตามหลังผู้นำหนุ่มไปแล้วครึ่งทาง ก็เบนเข็มตามเรามาเป็นทิวเชียว ก็มีอันให้มาป๊ะกับลุงโอภาสจังหวะที่ปั่นจั๊กมาพอดี (…ปั่นจั๊ก เป็นศัพท์เน็ทเจน..ที่ชอบอะไรย่อๆ สั้นๆ ได้ใจความ…หมายถึง…ถีบจั๊กกะยาน…แบบสาวบ้านแต้นั่นเอง)

โปรดติดตาม…ตอนต่อไป วันถัดไป….

บท ที่ ๒  สัญจรบนบาทวิถี(ต่อ)

ลุงโอภาสทักทายพูดคุยชี้ชวนคณะเราให้ เที่ยวท่องในชุมชน สักครู่ก็เอ่ยชวนพวกเราล่องเรือในสนนราคาที่ไม่น่าจะปฏิเสธ พวกเราลงความเห็นกันโดยไม่ต้องนับคะแนนว่ายังเช้าอยู่ลงเรือเลยก็ดีไม่ร้อน หากจะรอเวลากลุ่มใหญ่ก็จะร้อนและคนมาก ตะแรกลุงก็บอกให้เรา ยืน รอตรงที่เจอกันจะไปเอาเรือมารับ แต่ด้วยความที่อยากยลชมบ้านเรือน คณะพวกเราก็มิพักฟังไร..เดินตามติดคุณลุงไปทันที

ระหว่างทางเจอยายพายเรือ   ขายขนมไทย ประเมินแล้วว่า…คงพอมีอะไรให้เจ้าตัวโตที่ร้องหิวตั้งกะยังไม่ถึงที่พอปะ ทังรองท้อง ได้ขนมมันกับขนมต้ม จากแรงเชียร์ของลุงโอภาสให้ช่วยอุดหนุนยาย  แหม!! สุโค่ย!! สุดยอดจริงๆ คุณลุง ยกให้เลยตำแหน่ง PR ประจำชุมชน

ได้ขนมแล้วพากันเดินไปอีกไม่ไกลก็เจอ ร้านของชำ หน้าร้านมีเก้าอี้นั่งเล่น โดยไม่ได้นัดแนะสมาชิกต่างก็พากันจอดนั่งพักกันหน้าตาเฉยเลยทีเดียวเชียว เราหันไปเห็นตู้แช่เลยได้เสบียงโออิชิ ของเฮียตันอีมาอีก ๑ ขวดให้เจ้าตัวโต เจ๊เจ้าของร้านแกดูมีอัธยาศัยดี สมาชิกเลยใช้(ฉวย)โอกาสขอถ่ายน้ำออกจากแหล่งเฉพาะตัวซ๊า… เจ๊เจ้าของ ร้านแกก็เต็มอกเต็มใจเรียกลูกสาวมาเป็นเนฯ นำทางไปสุขา…วดี…ดิบดีอีกเหมือนกัน

ระหว่างคอยท่า ซึ่งอันที่จริง…ท่าไม่ไปไหน ทำไมไม่เรียก…คอย เรือ…เออเน๊อะ…

ขณะอยู่หน้าร้านเห็นสาวน้อย ๒ นางคนหนึ่งอยู่ในวัยอนุบาลใส่ชุดไทยแบบไปโรงเรียน…เดาเอา  แต่ไม่ยักไป อีหนูเยี่ยมๆ มองๆ คนแปลกหน้าอย่างพวกเราอยู่พักนึงแล้ว ส่วนอีกหนึ่งสาวน้อย  โตกว่า นิดหน่อย  ประมาณ….ประถมต้น…ไม่ เกิน…เราว่า อีหนูกำลังนอนเล่นบนเปลยวนสบายใจ สักพักสองสาวก็ไปรวมตัวกันบนเปลไกวเลยขอให้เธอเป็นนางแบบซ๊าาาาาา

a9

ยาวววววจัด โปรดติดตามบทที่ 3 ที่ตอน 2 ละกันนะ คร้าบบบบ พี่น้อง




Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร