CONSAL ตอนตุปัดตุเป๋

หลังจากการสัมมนาเสร็จสิ้น คืนนั้นมีงานเลี้ยงรับรองถามพี่ๆที่แบงค์ชาติเรื่องละครหุ่นน้ำ ได้รับคำแนะนำว่าควรไปดูรอบสองทุ่มนั่งรถแท๊กซี่ไปก็ได้ ชักชวนน้องพี่ได้ทั้งหมดเจ็ดชีวิตนั่งรถที่เป็นสามตอนได้อย่างสบาย แต่อย่านึกว่ายี่ห้ออย่างเราแล้วอะไรๆจะสงบ เพราะพอลงมาชายหนุ่มบอกว่ากระผมลืมกระเป๋าเอกสาร ทุกคนก็บอกว่าให้นั่งรถคันเดิมย้อนกลับไปเอาส่วนพวกเราจะจองตั๋วเพราะเหน็ดเหนื่อยกันมากแล้ว แต่รอบนั้นทัวร์จองหมด พวกเราจึงได้รอบสามทุ่มสิบห้า ไหนๆ มาถึงถิ่นแล้วก็ยั่งคอยกันไป ชอบปิ้งกันไปเพราะข้างเป็นตลาดคล้ายโบ๊เบ๊บ้านเรา ไม่นานชายหนุ่มก็กลับมา
แต่อย่างนึกว่าเรื่องจะหมดเพราะพอถึงเข้าไปหาที่นั่ง พลันคุณน้องชายบอกพี่ๆ ว่าพาสปอร์ตผมหาย ส่วนพี่ๆ ก้หันมาบอกต่อๆ กันจนถึงดิฉันว่าทำไมเธอไม่ดูแลให้ดี 555 เล่นเอาวงเกือบแตกได้แต่ปลอบใจกันว่าคงอยู่ที่ห้องนั่นแหละก็ดูกันไปครบหนึ่งชั่วโมง
ถึงโรงแรมฉันก็ทวงใบเสร็จรับเงินก็บอกว่าได้ตอนเช้าส่วนเกียรติติดต่อโรงแรมเรื่องพาสปอร์ตหาย ให้ช่วยประสานงานกับโรงแรมที่สัมมนา เจ้าหน้าที่ก็ช่วยติดต่อ ช่วยหันหาเบอร์สถานทูต  สำเนาพาสปอร์ตแต่ปรากฏว่าไม่มี แต่ฉันมีจ๊ะ (ถือว่าโชคดีมาก) ให้โรงแรมติดต่อศูนย์รถแท็กซี่ ส่วนฮาลองเบย์ก็ยกเลิก เกียรติบอกว่าพี่ไปเถอะผมจัดการได้ (ฉันรู้) แต่บอกว่าไม่ได้หรอกเพราะที่นั่นไปเมื่อไรก็ได้ แต่เรื่องพาสปอร์ตหายนี่ซิชีวิตหนึ่งใช่ว่าจะเจอง่ายๆ เสียเมื่อไร เรื่องอย่างนี้คนอย่างฉันไม่พลาดอยู่แล้ว อีกอย่างจะได้ไปในที่ที่อยากจะไป เลยฝากน้องแตนให้ซื้อตุ๊กตาเวียดนามเผื่อมาเป็นของฝาก กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนอีกแล้ว
พอตอนเช้าเราก็ทวงใบเสร็จก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง แล้วก็เดินหนีไปเฉยๆ แล้วก็ให้ไปติดต่อกับไกด์ ซึ่งก็บอกว่าเขามาเฉพาะวันนี้ ลองไปติดต่ออีกที่หนึ่งไม่ไกลกันเข้าใจว่าเป็นโรงแรมแม่ ก็เดินไปบอกเจ้าหน้าที่ ๆ ก็พยายามติดต่อบริษัททัวร์ให้ (เนื่องจากผู้จัดงานใช้วิธีจ้างผู้ชำนาญ outsources เป็นเรื่องๆ ไป) ก็บอกว่าติดต่อแล้วแจ้งว่าจะให้แต่ก็ยังไม่ได้พรุ่งนี้ก็จะกลับแล้ว เจ้าหน้าที่สัญญาว่าจะติดต่อให้แล้วแจ้งกลับไปที่โรงแรมที่เราพัก เราก็กลับมาโรงแรมเก่าเพื่อมาทานข้าวเช้า
เรียกแท็กซี่ให้ไปสถานทูต ก็หาไม่พบบอกว่าอยู่แถวๆ นี้แหละ เกรงใจเรื่องมิเตอร์ที่วิ่งและวิ่งเหมือนแข่งร้อยเมตร เลยขอลงหน้าสถานทูตอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าคนเยอะมากและมีคนมาถามว่าจะทำวีซ่าไหม จึงถามว่าสถานทูตไทยอยู่ไหน ก็บอกว่าให้เดินไปอีกหน่อย พอไปอีกหน่อยก็ถามก็บอกว่าน่าจะเป็นอาคารต่อไป ก็ไม่ใช่อีก เรามองไปรอบๆ เงยไปเห็นธงชาติไทยก็ดีใจบอกว่านั่นไง !
ไปถึงที่นั่นประมาณแปดโมงครึ่งกว่าๆ เจ้าหน้าที่ก็ซักชายหนุ่ม ส่วนเรานั่งคอยอ่านหนังสือแล้วก็หลับ เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นคนเวียดนาม ต่อมามีหนุ่มน้อยที่เคยมาเรียนภาษาไทยที่ประสานมิตรมาคุยอีก แล้วต่อโทรศัพท์ให้เกียรติได้คุยกับท่านทูต โดยบอกว่าจะให้เด็กไปดูแลและอำนวยความสะดวก หนุ่มน้อยเริ่มซักซ้อมกันไปมาแล้วก็พากันไปแจ้งความที่สถานนีตำรวจ
สถานีตำรวจที่นี่ลักษณะเป็นเหมือนห้องแถวคูหาเดียว มีตำรวจเดินเข้าเดินออก ขณะที่ไปพบว่ากำลังสอบปากคำสองสาวซึ่งต้องสงสัยว่าค้าประเวณี เราได้แต่นั่งรอกรอกตาไปมา ตำรวจก็มาซักโน่นซักนี่ หนุ่มน้อยทำหน้าที่เป็นล่ามให้ พักใหญ่เข้าใจว่าเป็นนายตำรวจมาเขียนชื่อสองสาวลงในแผ่นไม้แล้วก็ให้ถือ (คล้ายๆ กับหมายจับ) แล้วก็ใช้มือถือถ่ายรูปเก็บข้อมูลไปทำประวัติ ดูการทำงานงานแล้วทึ่งไม่ต้องวุ่นวายกับอะไรให้มากมาย แล้วก็มาดูเอกสารของเกียรติก็ลงนามแล้วก็โบกมือให้ไป (ฮิฮิ  ไม่ต้องเสียเงิน)
แล้วเราก็นั่งรถกลับไปที่สถานทูต หนุ่มน้อยแจ้งว่าประมาณสามสิบนาทีให้็อ่านหนังสือกันไป โชคดีที่เราต่างพกหนังสือไปด้วย  สักพักก็กลับมาบอกว่าผมลืมพาไปถ่ายรูป ส่วนท่านทูตได้กรุณามาคุยปลอบใจว่าหายกันบ่อย เตรียมเอกสารให้เรียบร้อยแล้ว แต่ต้องลงชื่อที่รูปแล้วประทับตรา ดังนั้นก็ต้องไปถ่ายรูปก่อน เพราะท่านมีนัดจะกลับมาตอนบ่ายสอง
หนุ่มน้อยแนะนำให้ไปถ่ายรูป พวกเราจึงถามถึงที่เราอยากไปคือหอสมุดแห่งชาติ กับวัดเก่าที่เรียกว่า Temple of Literature ก็ชี้ตำแหน่งในแผนที่ เราจึงเริ่มเดินและเดินไปร้านถ่ายรูป เป็นร้านเก่าๆ แต่คงทันสมัยในฮานอยแล้ว บอกว่าประมาณครึ่งชั่วโมงถึงจะดำเนินการเสร็จ
ขี้เกียจนั่งคอยเฉยๆ จึงเดินไปเรื่อยผ่านมหาวิทยาลัยอะไรไม่รู้ จึงเข้าไปดูคิดว่าน่าจะมีโรงอาหารเหมือนของเรา แต่เข้าไปประมาณการว่าน่าจะเป็นมหาวิทยาลัยทางด้านการแพทย์ บรรยากสและกลิ่นวังเวงเลยขอลา เดินไปหาร้านอาหารโปรดนึกถึงว่ามีหน้าร้านกว้างประมาณสองเมตร มีหม้อก๋วยเตี๋ยวหนึ่งห้อม มีก๋วยเส้นเล็กหนึ่งกระจาด มีเก้าอี้และโต๊ะเล็กๆ ชะรอยร้านนี้จะค่อนข้างอินเตอร์เพราะมีเมนู บอกว่าราคาเท่าไรใส่อะไรบ้าง พอสั่งก็จะมีบิลให้ระบบเหมือนร้านพิซซ่าฯลฯ บ้านเรา พอเรียบร้อยก็ใช้บิลนั้นส่งให้แคชเชียร์ประมาณคนรุ่นแม่เรานั่งดักที่หน้าร้าน แล้วก็เดินไปหอสมุดแห่งชาติก็ไปแจ้งว่าเรามาสัมมนาขอเดินดูและถ่ายภาพ ขากลับผ่านพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ท่าทางจะดีจึงซื้อตั๋วเข้าไปชม มีคนต่างชาติเข้าไปดูอย่างเหงาๆ เหมือนกับพิพิธภัณฑ์บ้านเราที่ไม่ค่อยจะมีคนเข้าไปดูเดินกันจนเมื่อย เหนื่อยและอยากพัก จึงเดินกลับไปที่ร้านถ่ายรูป แล้วเดินต่อไปสถานทูตฯ นั่งรอสักพัก เอกสารทุกอย่างก็เรียบร้อยหนุ่มน้อยบอกหนุ่่มใหญ่ว่าระวังให้ดีอย่างทำหายอีกนะ
แล้วเราก็เดินและเดินตุปัดตุเป๋ไปที่ Temple of Literature  จ่ายค่าเข้าชมคนละหมื่นดอง ความจริงแล้วอยากได้แผ่นพับแต่ต้องซื้อสามพันดอง ไม่เอาดีกว่าหาข้อมูลตามเน็ตเองก็ได้ ชายหนุ่มเดินไปถ่ายรูป ส่วนฉันนั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้ม้าหินอ่อนนานทีเดียว ตื่นมาก็เลยเดินไปดูรอบๆ อยู่ที่นี่จนถึงสี่โมงเย็นก็จะกลับ แต่เราพบว่าบรรดาอาม่าจูงหลานๅ มากันเป็นแถว จึงสงสัยว่าเขาไปไหนกันจึงตามไปดู พบว่าพากันไปที่สวนสาธารณะไปออกกำลังกายกัน ก็ไปนั่งสักพักไปดูบรรยากาศของการใช้ชีวิตของคนที่นั่น ทีแรกจะเดินกลับแต่ฝืนสังขารไม่ไหวจึงนั่งรถแท๊กซี่เป็นดังคาด จ่ายไปหลายตังส์ทีเดียว อะไรกันนักหนานะเมืองนี้
ไปถึงโรงแรมบอกให้เกียรติไปยกคอมพิวเตอร์ลงมา เพราะจะเมล์ถามบริษัททัวร์ (เมื่อเช้าเน็ตไม่ทำงาน) พอไปถามว่ามีใบเสร็จหรือโน๊ตถึงเราไหม ก็บอกว่าไม่มี จึงกลับไปที่โรงแรมที่ติดต่อเมื่อเช้า คนแรกบอกว่ามันคนละโรงแรมกันนะเจ๊ ก็บอกว่าฉันรู้แล้วแต่เมื่อเช้าฉันมาขอให้ช่วยเหลือแล้วก็สัญญากับฉันมามาติดต่อให้ อีกคนจึงเข้ามาพูดอะไีไม่รู้ คนนั้นเลยเดินไปแล้วบอกเหมือนเดิมนั่นแหละว่าจะช่วยเหลือ เราบอกว่าเราติดต่อมาหลายครั้งแล้ว แล้วทุกคนก็พูดแบบนี้และฉันก็จะกลับอยู่แล้ว ดังนั้นให้เขาช่วยโทรไปบอกโรงแรมนั้นให้ด้วยว่าสิ่งที่เราต้องการคืออะไร ถ้าไม่โทรให้เขียนเป็นภาษาเวียดนามแล้วฉันจะถือ จม.ไปเอง เขาก็บอกว่าได้โทรศัพท์ไปแจ้งแล้วและโรงแรมนั้นต้องรับผิดชอบดำเนินการให้ จึงขอบคุณแล้วเดินกลับมา มาคุยกับโรมแรมนี้ก็บอกว่าติดต่อให้อยู่ ก็บอกว่าฉันจะนั่งคอยอยู่ที่นี่ (ความจริงนั่งเล่นเน็ต) ส่วนเกียรตินั่งหลับที่ลอบบี้ พักใหญ่ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่าขอโทษที่ทำให้ยุ่งยาก เพราะเขากำลังยุ่ง (ฉันก็ยุ่งย่ะ) ก็ออกใบเสร็จให้
สักทุ่มนึงนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เราต้องกลับแล้ว ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์แจ้งว่ากำลังรวบรวมเวลาอยู่แล้วจะแจ้งให้ทราบ แจ้งตอนไหกันนะ แต่ไม่เป็นไรเด๊๋ยวน้องแตนกลับมาคงจะรู้เพราะไปกับกรุ๊ปใหญ่
เน็ตผลุบๆ โผล่ๆ เมล์มาหาน้องเอ๋เรื่องรถที่จะไปรับ บอกเที่ยวบิน นัดแนะว่าให้รับตรงไหน ตรวจงานนักศึกษาฝึกงานที่เราให้ส่งรายงานทาง google doc ก่อนหน้านี้ส่งจดหมายให้พี่พัชช่วยดำเนินการต่อเรื่อง ILL ฯลฯแล้วเน็ตเจ๊ง เห็นสภาพเกียรติแล้วคงไม่ไหวเพราะนั่งหลับนก จึงชวนไปกินอาหารเย็นกันดีกว่าจึงเดินๆๆๆ หาร้านอาหารเพื่อส่งท้ายมือนั้นหมดไปสี่หมื่นดองกับก๋วยเตี๋ยวสองชาม เรารู้สึกพะอืดพะอมท่ามกลางความเอร็ดอร่อยกับไข่ข้าว(ไข่เป็ดที่กำลังฟักตัวอ่อนต้ม)จนต้องรีบอิ่มแล้วลาละนะสำหรับอาหารเวียดนามแท้ๆ อาบน้ำ เก็บของ สักพักน้องแตนกลับมาถามข่าวคราวของพวกเราก็เล่าให้ฟัง น้องก็เล่าเรื่องไปฮาลองเบย์ บอกว่าไม่ได้ซื้ออะไรมาเพราะร้านที่พาไปของแพงมากแล้วก็แบ่งตุ๊กตาเวียดนามให้เก้าตัว และบอกว่าพรุ่งนี้เช้ารถออกตีห้าครึ่ง ย้ำว่าตีห้าครึ่ง ส่วนเครื่องบินไฟล์สิบโมงครึ่ง ทำไมเช้านักนะ ก็ก้มหน้าก้มตาเก็บของกันไป โทรไปบอกเกียรติสองสามครั้งไม่มีใครรับโทรศัพท์ เลยตัดสินใจว่าจะโทรบอกอีกครั้งตอนตีสี่ ส่วนวันนี้เราสองคนขอ good night หลังจากที่ตุปัดตุเป๋มานาน

3 thoughts on “CONSAL ตอนตุปัดตุเป๋

  • ดีนะที่ไปกันสองคน ได้มีเพื่อนช่วยเลือซึ่งกันและกัน แสดงว่าความคิดมี่แมวดีจริง เพราะพี่แมวชอบให้ไปแพ็คคู่เวลาไปราชการ

  • ขอบใจจ๊ะ เชื่อคนแก่แล้วดีไม๊ เด็กๆอะไรก็ไปเดี่ยวๆ ยังโชคดีในโชคด้อยที่ยังไปพบคนดีช่วยเหลือ

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร