3 วันที่ตะนาวศรีและมะริด
เมืองตะนาวศรีและเมืองมะริดอาจยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายนักสำหรับการท่องเที่ยว อาจเป็นเพราะด่านเข้าออกที่ชื่อ ด่านสิงขรยังเป็นด่านผ่อนปรน มีแต่คนไทยกับคนพม่าเท่านั้นที่เข้าออกกันโดยทำหนังสือผ่านทาง (border pass) ส่วนชาวต่างประเทศอื่น ๆ ต้องเข้าออกทางด่านถาวรอื่น ๆ ซึ่งส่วนมากจะอยู่ไกลจากเมืองตะนาวศรีและเมืองมะริด และเส้นทางการคมนาคมยังไม่สะดวก ทำให้ในเมืองมะริดมีนักท่องเที่ยวเป็นคนไทยเป็นหลัก และต้องมีความชอบการท่องเที่ยวแบบบ้าน ๆ ด้วย
เมื่อวันหยุดวันที่ 8-10 ธันวาคม 2561 ดิฉันไปเที่ยวเมืองตะนาวศรีและเมืองมะริด มีหลายอย่างที่อยากจะเล่า… พวกเราทั้งหมด 9 คน เดินทางถึงด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผ่านด่านกันอย่างสะดวก เพราะมีทีมงานทำ border pass ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จุดแรกที่น่าสนใจคือ จุดแดงน้อย ที่เป็นบริเวณพื้นที่ที่เป็นฉนวน หรือ No man’s land ระหว่างไทยกับเมียนมา มีศาลเจ้าพ่อหินกอง เป็นศาลเมียนมากับศาลไทยหันหลังชนกัน ต่างคนต่างหันหน้าเข้าประเทศตัวเอง
ผ่านด่านมาแล้วเข้าสู่หมู่บ้านมูด่อง มีหอนาฬิกาที่ทำจากต้นทานาคาทั้งต้น ต่อจากนั้นพวกเราเข้าไปเยี่ยมหมู่บ้านสิงขร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทย ได้พูดคุยกับยายเรียบ (จำนามสกุลไม่ได้ซะแล้ว) ยายยังพูดภาษาไทยชัดเจน ชวนยายกลับประเทศไทย ยายบอกว่าไม่มีที่ดินสักนิด ลายาย ยายให้พรกับทุกคนแล้วจึงไปไหว้พระที่วัดสิงขรณ์ มีพระอยู่ 5 รูป ดิฉันได้ถวามหมวกไหมพรมที่น้องกาญฝากไปทำบุญด้วย
ในตลาดเมืองตะนาวศรี มีห้องสมุดประชาชนด้วย เสียดายที่ห้องสมุดปิด เลยถ่ายรูปแต่ด้านหน้ามา เขาเขียนว่า township public library ได้ค้นหาความหมายของ Township พบมีผู้อธิบายไว้ว่า ในเมียนมา คำว่า township จะมีความหมายเทียบเท่าอำเภอ หรือเป็นส่วนย่อยของจังหวัด..
อาหารกลางวันพวกเรากินข้าวที่ร้านอาหารไทยในตะนาวศรี ที่ทำได้รสชาติไทยมาก จนต้องถามว่าพ่อครัว (เราเห็นแล้วว่าเป็นผู้ชาย) เป็นคนไทยหรือพม่า ลูกน้องบอกว่าเป็นพม่าเคยมาทำงานในประเทศไทย ส่วนที่พักในคืนแรกเป็นโรงแรมเล็ก ๆ อยู่ริมแม่น้ำตะนาวศรี คืนแรกฝนตกพรำทั้งคืน
เช้ารุ่งขึ้นพวกเราเข้าเมืองมะริด อยู่ที่มะริดทั้งวัน ตระเวนเที่ยวชุมชนต่าง ๆ ตลาดเก่าแก่ วัด โบราณสถานสมัยกรุงศรีอยุธยา เที่ยวดูวิถึชีวิตของชุมชนโบราณ ทดลองกินอาหารและขนมพื้นถิ่น ยอดนิยมคือชา รสอร่อย หอม แต่ตลอดที่อยู่ที่ตะนาวศรีและมะริด ได้ดื่มไปสัก 3 ถ้วย เพราะกลัวไขมันทรานส์จากครีมเมอร์ ปลาท่องโก๋ตัวใหญ่ ๆ ก็น่ากิน แต่ก็กลัวไขมันเพราะน้ำมันที่ทอดปลาท่องโก๋ที่เมียนมาร์ ที่เคยเห็นมาหลายครั้ง จะมีสีดำค่อนข้างสนิท ผัดก๋วยเตี๋ยวที่หน้าตาเหมือนผัดไทก็ดูน่าลอง ผัดในกระทะบนเตาฟืน แบ่งผัดตามคำสั่งคนซื้อ เพราะสามารถเรียงฟืนไว้ตรงที่ต้องการผัด เส้นที่ยังผัดไม่เข้าที่ก็มีแค่ฟืนรุม ๆ เท่านั้น หอมฟืน แต่ก็ไม่กล้าสั่งกิน เพราะเมื่อแม่ค้าที่ทาหน้าด้วยทานาคาผัดเสร็จ หอมฉุย ก็ตักใส่ถุงก๊อบแก๊บแล้วมัดปากทันที…อายุมากแล้วการกินอยู่เลยต้องเรื่องมากนิดนึง ส่วนโมฮิงยา อร่อย ทานได้ คุณลูกชายแย่หน่อยตรงที่อาหารทุกมื้อเรามักเป็นอาหารทะเล แต่คุณลูกไม่กินกุ้ง ปลาหมึก ดีว่ามีไข่เจียวให้เกือบทุกมื้อ จนมื้อที่มีล้อบเตอร์ ใคร ๆ ก็บอกต้องลองกินหน่อย คุณลูกพยายามกินไปได้ครึ่งตัวก็ยอมแพ้ โรงแรมที่นอนที่เมืองมะริด เป็นโรงแรมที่ดีทีเดียว จากชั้น 9 ที่เป็นห้องอาหารสามารถชมวิวเมืองมะริดได้รอบ
เมืองมะริดเป็นเมืองท่าชายทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมง ที่ท่าเรือเก่า (กำลังสร้างท่าเรือนานาชาติ) มีการทำปูเค็มด้วย เขาบอกว่าเป็นปูเค็มที่ส่งมาขายเมืองไทยทำส้มตำ พอไปที่ท่าเรือใหม่มีป่าชายทะเล มีปลาตีน กับปูก้ามสีแดง ๆ มาก เลยทำให้คิดไปว่า เป็นปูที่เขาเอาไปทำเค็มหรือเปล่า ส่วนพืชเห็นหมากเป็นหลัก ทุกบ้านต้องมีการตากหมากไว้ที่ลานบ้าน แต่ต่างจากเมืองไทยตรงที่เขาตากทั้งลูก บ้านเราหั่นตากเฉพาะเนื้อ ได้ถามไกด์ว่าที่นี่เขาเก็บหมากกันยังไง ไกด์บอกว่าสอยเอา เราถามว่าไม่มีการปีนแล้วโยกต้นต่อยอดไปเรื่อย ๆ เหรอ ไกด์บอกว่าไม่มี แล้วก็ปลูกแตงโมมาก ลูกใหญ่เท่าลูกบาส ผลไม้ที่ต่อจากอาหารทุกมื้อของเราจึงเป็นแตงโม ไม่มีอย่างอื่นเลย
ธรรมชาติที่ตะนาวศรีกับมะริดยังเยี่ยมยอดมาก เทือกเขาตะนาวศรีปกคลุมไปด้วยหมอกเกือบทั้งวัน บนภูเขาเป็นสีเขียวด้วยต้นกล้วยป่า หมาก ไผ่ บ้านชาวบ้านเรียงรายกันอยู่ ไม่มีรั้วที่เป็นกิจจะลักษณะ ไม่เห็นสถานีตำรวจ ไม่เห็นโรงพยาบาล (หรือเราจะอ่านป้ายไม่ออก) แต่มีโรงเรียนเยอะ (สังเกตเห็นเสาธงชาติและไกด์บอก) เห็นหมู่บ้านแล้วนึกถึงภาพวาดของอาจารย์ดำรง วงศ์อุปราช เหมือนอย่างนั้นจริง ๆ
ไม่รู้ว่าปีหน้า ถนนที่กำลังเร่งก่อสร้างจะนำความเจริญ เข้ามาแทนที่วิถีบ้าน ๆ สักเพียงไหน การทัศนศึกษาครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการเก็บประวัติศาสตร์ไว้ในความทรงจำและภาพถ่าย