การเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ในเรื่องของการทำงาน
การเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ในเรื่องของการทำงาน
การเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ได้หมายความว่า ปล่อยเวลาว่างให้สูญเปล่า หรือปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไร แต่มีความหมายว่า ใช้เวลาทำงานไป 2 ชั่วโมง ทั้งๆ ที่ควรจะทำงานเพียง 1 ชั่วโมง ซึ่งมีสาเหตุหลายๆ อย่าง อันเนื่องมาจากอุปนิสัยของเราที่ทำให้เราเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ การเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์มีดังนี้
1. ชอบแบกรับภาระ
การแบกรับภาระ คนที่ไม่กล้าปฏิเสธผู้อื่น และเป็นคนที่ทุ่มเทกับงานเป็นอย่างมากนั้น มักจะเกิดความผิดพลาดขึ้นคือ รับงานเข้ามาทำมากเกินไป จนกระทั้งแม้ในแผนงานประจำวันจะถูกอัดแน่นไปด้วยงานสำคัญ จนหมดเวลาแล้วก็ไม่กล้าปฏิเสธ เมื่อถูกขอให้ทำงานเพิ่ม จนกระทั้งไม่สามารถบรรจุงานทั้งหมดลงไปในแผนการประจำวันได้ ผลที่สุดต้องใช้เวลาหลังเลิกงาน เวลาในวันหยุดซึ่งควรเป็นเวลาสำหรับให้ตัวเองและครบครัวมาทำงาน แต่ก็ยังไม่สามารถทำงานให้เสร็จไปได้ด้วยดี วิธีแก้ไขคือ
1. ฝึกปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เพื่อไม่ให้เสียสัมพันธภาพระหว่างบุคคล หรือ จะใช้วิธี saying yes to a person , saying to the trust เช่น เพื่อนให้ไปหาในเวลาที่เรายุ่งอยู่ แทนที่เราจะปฏิเสธ เราอาจจะบอกว่า ได้ครับ แต่เดี๋ยวผมทำงานนี้เสร็จแล้วจะรีบไปหานะครับ แล้วเราก็ทำงานต่อไปได้ แล้วถ้าเรายังทำงานไม่เสร็จเราก็ไม่ต้องไป
2. ฝึกปฏิเสธอย่างนุ่มนวลเพื่อเอาเวลามาทุ่มเทกับงานที่มีเป้าหมายเป็นอับดับแรกและทำให้ดีที่สุด
3. ฝึกปฏิเสธอย่างนุ่มนวลถึงแม้ว่าเขาจะทำงานไม่ดีเท่าเราก็ตาม แต่ถ้าผลงานพอที่จะรับได้ก็ให้ทำไป ถ้าได้ทำบ่อยก็จะดีขึ้นเอง การเก็บงานไว้ทำเองมากเกินไป อาจทำให้เราไม่มีเวลาไปทำงานที่มีความสำคัญและมีคุณค่ามากกว่าแล้ว ยังทำให้เราไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอีกด้วย ทั้งนี้รวมถึงกิจกรรมส่วนตัวด้วย เช่น ไม่ควรทำการบ้านให้ลูก หรือไม่ควรต่อเติมบ้านเอง
สรุปวิธีแก้ไข
1) ฝึกที่จะปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
2) ปฏิเสธการทำงานที่ไม่ใช้เป้าหมายของการทำงานหรือปฏิเสธกิจกรรมที่ไม่ใช่เป้าหมายของชีวิต
3) พยายามมอบหมายงานให้คนอื่นทำให้มากที่สุด
2. ชอบความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
คนที่ชอบความสมบูรณ์แบบจะเป็นคนที่พิถีพิถันกังงานมาก งานที่เขาทำจะต้องดีที่สุด จะต้องไม่ผิดเลย และเขาจะพึงพอในในความเป็นคนสมบูรณ์แบบของเขามาก เขามักจะลืมว่าเข้าจ่ายเวลาไปมากมายเพื่อให้งานดีขึ้นอีกเล็กน้อย คนเหล่านี้อาจใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการเขียนรายงานให้เสร็จ แต่ใช้เวลาแก้ไขรายงาน 1 ชั่วโมง แก้ไขคำพูด วลี หรือการเว้นวรรค ขึ้นย่อหน้าใหม่ เพื่อให้ดูสละสลวยขึ้นกว่าเดิม หรือการใช้เวลา 2 ชั่วโมงในการเตรียม Powerpoint แต่ใช้เวลาทั้งวันในการตกแต่งให้สวยงาม จริงอยู่ว่าการใช้เวลาเพื่อให้ผลงานที่ดีขึ้นเป็นการดี แต่อย่าลืมเปรียบเทียบผลงานกับเวลาที่เสียไปว่าคุ้มค่ากันหรือไม่
กฎ 80-20 ว่าเราใช้เวลา 20 เปอร์เซ็นทำงานเสร็จไปแล้ว 80 เปอร์เซ็น และใช้เวลาอีก 80 เปอร์เซ็ตเพื่อทำงานอีก20 เปอร์เซ็น
“พิถีพิถันกับงานมากเกินไป ต้องจ่ายเวลาไป อีกมากมาย เพื่อให้งานดีขึ้นอีกเล็กน้อย”
3. ช่างวิตกกังวล
การคิดรอบคอบเป็นการดี แต่บางครั้งการคิดมากเกินไปทำให้เรากลายเป็นคนวิตกกังวลในงานมากเกินกว่างเหตุ ทำให้เราไม่กล้าตัดสินใจว่าจำทำอย่างไรดี จนไม่กล้าที่จะเริ่มงาน กลัวว่าจะทำงานผิดพลาด กลัวว่าผลงานไม่ดี กลัวว่าไม่ถูกใจนาย ความวิตกกังวลเหล่านี้ทำให้เราได้แต่จดๆจ้องๆ ไม่กล้าลงมือทำงาน หรือไม่กล้าตัดสินใจเกี่ยวกับงาน ให้เวลาคิดหาวิธีอย่างรอบคอบถึงข้อดีข้อเสีย อาจในวิธีเขียนข้อดีข้อเสียในกระดาษ พิจารณาให้ดีก็ตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจแล้วก็ลงมือทำ โดยไม่ต้องกลับมาคิดอีก มิฉะนั้นจะกลายเป็นคิดวกวน
4. ช่างฝัน
คนบางคนมีนิสัยชอบเพ้อฝัน วันหนึ่งๆ เอาแต่คิดว่าจะทำนั้นทำนี้ตลอดเวลา แต่เมื่อรู้ว่าจะทำอะไรก็เอาเพ้อฝันว่าจะทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ เพ้อฝันโดยไม่ลงมือทำจริงสักที ผลสุดท้ายเวลาก็หมดไปโดยไม่ทำอะไรเลย อย่าเอาแต่เพ้อฝัน ลงมือทำจริงๆ ดีกว่า เพราะเวลาไม่คอยใคร
5. ชอบทำงานแบบไฟล้นก้น
การทำงานแบบไฟล้นก้นคือ การไม่ยอมทำงานหากยังไม่ถึงกำหนด deadline ต่อให้มีเวลาว่างอยู่ก็ตามบางทีก็อ้างว่าคิดไม่ออก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่เมื่อถึง deadline ก็จะคิดออกทันทีทั้งที่ไม่ได้มีข้อมูลใหม่เลย การรอให้ถึง deadline นั้น เป็นสาเหตุให้เราต้องทำงานอย่างเร่งรีบ การทำงานอย่างเร่งรีบโดยเฉพาะถ้างานนั้นเป็นงานที่สำคัญจะเป็นสาเหตุให้เราเกิดความเครียด และทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร
แหล่งอ้างอิง : ตัดตอนจาก วิชาการสื่อสารและการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ (จากการอบรมหลักสูตรออนไลน์ ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน)