วลีทองของพี่หมอ
วันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๐ ข้าพเจ้าเดินทางไปรับการตรวจรักษา
ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี โดยไปพบคุณหมอจันทร์ชัย เจรียงประเสริฐ
ด้วยอาการเวียนศรีษะไม่สามารถทรงตัวได้ ซึ่งในขณะนั้นอาการป่วย
พอทุเลาลงบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถทำกิจวัตรต่างๆ ตามปกติ
ภายหลังการตรวจและทดสอบอาการที่เป็นอยู่เรียบร้อยแล้ว
คุณหมอได้แนะนำวิธีกายภาพด้วยตนเอง ก่อนและหลังตื่นนอนบนพื้นราบ
ซึ่งทำได้ไม่ยากนัก ดังนี้
๑) กลิ้งตัวไป-กลับ ๑๐ ครั้ง
๒) นั่งเหยียดเท้าตรงไปข้างหน้าล้มตัวไปด้านข้าง ซ้าย-ขวา ๑๐ ครั้ง
๓) ยกนิ้วชี้ขึ้นระดับสายตา เคลื่อนนิ้วและหันหน้ามองตาม
ไปด้านข้าง ซ้าย-ขวา ๑๐ ครั้ง
๔) ยกนิ้วชี้ขึ้นระดับสายตา หันหน้าตรงและเคลื่อนเฉพาะตา มองตาม
ไปด้านข้าง ซ้าย-ขวา ๑๐ ครั้ง
๕) สะบัดหน้าไป-มา ซ้าย-ขวา รอบละ ๑๐ ครั้ง ๑๐ รอบ
หลังจากได้รับคำแนะนำการฝึกกายภาพด้วยตนเองจากคุณหมอแล้ว
ท่านได้สนทนาพูดคุยเรื่องการดูแลร่างกาย กำชับให้ดูแลสุขภาพพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
โดยมิได้กำหนดว่าต้องกี่ชั่วโมง แต่ให้ยึดตามที่ตนเองคิดว่าพอโดยถือเอาความสดชื่นเมื่อตื่นเป็นพอ
และควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ
หลังจากพูดคุยเพียงครู่แล้ว ก่อนจากกันในวันนั้น
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ด้วยความอาทรและความเข้าใจในชีวิตของผู้พี่ต่อน้องสาว
ซึ่งท่านมิได้คาดคิดมาก่อนว่าจะพบกันในสภาพของน้องที่สวมใส่เครื่องแบบสีขาวมาพบ
พี่หมอได้กล่าวประโยคอันประทับใจทิ้งท้ายเป็นที่มาของข้อเขียนนี้ คือ
“สุขภาพกายต้องให้หมอรักษา ส่วนสุขภาพใจนั้นเราต้องดูแลตนเอง”
ประโยคเรียบง่าย ด้วยท่าที สีหน้าและแววตาอันปลอบโยนของพี่หมอเพียงเท่านี้
ทำให้น้ำตาของข้าพเจ้าเอ่อล้นเต็มตื้นขึ้นมาทันที ด้วยมิรู้จะกล่าวคำขอบคุณใดเท่าเมตตาที่ได้รับจากท่าน
ปล. การทำกายภาพด้วยตนเอง (Home care) ดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่าผู้ที่มีอาการป่วย
ควรได้รับการแนะนำจากแพทย์ก่อน หรือหากจะลองปฏิบัติตามก็ควรทำตามวิธีการทีละขั้นทีละตอน
เริ่มจากท่าที่ ๑-๕ โดยลำดับ
3 thoughts on “วลีทองของพี่หมอ”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
หนูลองทำตามวิธีที่แม่ชีบอกตอนสบัดหน้า10 ครั้ง ยังไม่ถึง 10 ครั้ง งงหัวเหมือนทรงตัวไม่อยู่เหมือนกัน เพราะหนก็เคยเป็นน้ำในหูไม่เท่ากัน คุณหมอได้บอกหรือเปล่าว่าสบัดหน้าไปมาเพื่ออะไรงงหัวจะตาย
พี่ต้องขอโทษด้วย ที่อธิบายรวบรัดไปหน่อย น้องปูลองทำตามเลยเวียนศรีษะ พี่แก้ไขเพิ่มเติมในข้อเขียนแล้วบางส่วน และขออธิบายเพิ่มสำหรับน้องปู คือ อาการน้ำในหูไม่เท่ากัน อาการบ้านหมุน เป็นชื่อเรียกที่ทั้งหมอและคนทั่วๆ ไป มักเรียกกันโดยเข้าใจ แต่สำหรับหมอเฉพาะทางจะเรียกโรคลักษณะนี้แตกต่างกันไป เช่น โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน หรือ โรคเวียนศรีษะขณะเปลี่ยนท่า เช่น เวลาล้มตัวนอน เวลาก้มหน้าหรือเงยหน้า โรคน้ำในหูชั้นในผิดปกติ หรือ น้ำในหูไม่เท่ากัน อาการของโรคลักษณะนี้นอกจากบ้านหมุนแล้ว จะหูอื้อได้ยินลดลงและมีเสียงรบกวนในหู โรคเนื้องอกของประสาทการทรงตัว โรคหูดับ เป็นต้น ส่วนของพี่เป็นโรคเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ
ดูจากชื่อโรคที่ต่างๆ กันแล้ว น่าจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าสาเหตุของโรคก็ย่อมแตกต่างกันด้วย แม้จะมีอาการคล้ายกันแต่ก็ไม่เหมือนสักทีเดียว การรักษาและบำบัดฟื้นฟูจึงต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางพิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนจ้ะ เพราะแม้แต่ตัวพี่เองซึ่งเคยมีอาการทำนองนี้เมื่อ ๔ ปี ก่อน การตรวจรักษาครั้งนั้นกับครั้งนี้ก็ยังไม่เหมือนกันทีเดียว การทดสอบอาการของโรคก็ต่างกัน ครั้งนี้พี่ไม่ต้องใช้เครื่องมือทดสอบการได้ยิน และไม่ต้องใช้เครื่องฝึกระบบประสาทการทรงตัว
ทางที่ดีหากยังมีอาการแนะนำให้น้องปูไปพบแแพทย์คลินิคเฉพาะทาง คือ คลินิคการได้ยินและการทรงตัว ในโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน ที่ให้บริการด้วยเครื่องมือที่พร้อมมากกว่าการรักษาที่คลินิคแพทย์ทั่วๆ ไป เพราะที่สำคัญ คือ โรคนี้เป็นแล้วกลับเป็นใหม่ได้เสมอ ไม่จำกัดวัย ไม่จำกัดระยะห่างของช่วงเวลา หากตั้งใจจะรักษาจริงจังลองมาคุยกันได้จ้ะ
นู๋ปู…ไม่ใช่อยู่ๆ จะไปทำแบบนั้นนะจะบอกให้ บางครั้งการที่บ้านหมุน จะเรียกอะไรก็แล้วแต่…น้ำในหูไม่เท่ากัน หินปูนหูชั้นในเคลื่อน ตะกอนในหูหลุดเคลื่อน แต่ควรไปหาหมอตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัดก่อนปฏิบัติ เพราะแม่พี่ก็มีอาการดังแม่ชีว่าเช่นกัน แต่อาจมีเรื่องอื่นๆ ประกอบด้วย ต้องตรวจร่างกายก่อนจ้า เช่น ความดันสูง คอเรสเตอรอลสูง นอนไม่หลับ เป็นต้น เมื่อประกอบกัน ถ้าทำดังนู๋ปูทำ เดือดร้อนแน่จ้า…หมอเค้าก็ไม่ให้แม่พี่ทำ เค้าให้รักษาองค์ประกอบเสริมที่ทำให้บ้านหมุน เวียนหัว ทรงตัวลำบากก่อนเลย … อีกคนที่น่าจะมาช่วยนู๋ปูตอบคำถามนี้ก็น่าจะเป็นพี่หนามนิ… เห็นพี่เค้าเคยเป็นมาก่อน