เป็นท่านท้าว….

นั่งเล่นๆ คุยกับน้องอ้อเรื่องหนังสือเด็ก  พี่เกก็เรียกสีหน้าเคร่งเครียด…แซวน้องอ้อไปว่า ท่าจะมีงานซิแก! ส่วนน้องอ้อก็รีบไปยังสถานที่เกิดเหตุ  จากไปเพียงสองวินาที…เดินไปมั่ง เกรงตกข่าว เห็นพี่ตา พี่กอล์ฟ เจ้าภาพ น้องอ้อ และคาดว่าจะเป็น “เจ้าภาพ” อยู่กับเด็กๆ เอ๊ะๆ ชักมีเสียงแปลกหู ผู้คนเริ่มหันมามองซ้ายขวา บน ล่าง แล้วก็ที่ข้าพเจ้า ส่วนพี่เกเอาใจช่วยบนเวที ….จึงรี่เข้าไปสมทบอีกคน ถึงเป็นพี่ก็ทำแทนได้
ไปถึงสนามแบบละม่อม …สวัสดีค่ะ ตายละหวา! โจทย์มีตั้งสาม…ชายหนึ่ง หญิงสอง ที่ต่างมีเหตุผลของตนเอง ขณะที่ไปถึงน้องอ้อกะลังฟังคนของเราพูด ส่วนเด็กก็ทำท่าจะพูด พอเราไปสมทบเด็กๆ หันมามอง จึงตัดสินใจยิงทิ้ง เอ๊ย! จูงมือใครดีกว่า งั้นขอเลือกคนที่สวยที่สุดแล้วกัน อีกสองคนจึงตามมา แล้วยิ้มบอกว่าไปนั่งคุยข้างในกันดีกว่านะ เดินอีกนิดจะทำให้เราใจเย็นขึ้นค่ะ….
ที่ตัดสินใจแบบนั้นคือ น้องอ้อและพี่น้องตรงนั้นอยู่ควบคุมสถานการณ์ของ “เจ้าภาพ” ที่พร้อมจะไปเที่ยวทุ่งลุย (ลาย)  อยู่แล้ว ตัวเองจึงขอคุยกับเด็กๆ ดีกว่า
เหตุเกิดจากเรื่องเก่า แต่คนเก่าๆ ชอบนำกลับมาให้เป็นเรื่องใหม่ๆ อยู่เสมอ แถมเรื่องนี้ยังเกิดกับคนเดิมๆ ที่ไม่เข้าใจเรื่องของที่ต่างวัย ทั้งที่เพียรเตือน เพียรบอก เพียรบ่น เพียรว่า หรือหากจะลงโทษก็เถอะคงแก้ปัญหาไม่ได้ กลายเป็นปัญหาโลกแตกของที่ทำงานให้ผู้เกี่ยวข้องได้ดำเนินการต่อไป
ขณะที่เรานั่งฟังเรื่องราวทั้งเรื่องเก่า และเรื่องใหม่ แบบ deep listenning เด็กทั้งสามคนเริ่มเย็นลง เราบอกไปว่าหอสมุดฯ ต้องขอโทษจริงๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ และยิ่งขอโทษมากๆ เพราะเกิดซ้ำสอง เด็กบอกว่าหอสมุดฯ ไม่ผิดค่ะ แต่พวกหนูและเพื่อนๆ ไม่อยากเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก อยากให้จบเรื่อง เพราะอยากมาที่นี่ ยังอยู่อีกหลายปี
แต่อย่างไรก็ต้องขอโทษถือเป็นความผิดของพี่ที่ดูแลคนไม่ดีจึงเกิดแบบนี้ แต่คิดว่าพวกหนุคงเข้าใจความแตกต่างระหว่างวัย และบางทีเจ้าหน้าที่อาจพบอะไรบ่อยๆ แต่เด็กเพิ่งทำครั้งแรกจึงเดินเหมารวมกับความคิดว่าเด็กทำ “บ่อยๆ” อ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ http://202.28.73.5/snclibblog/?p=4304
นั่งด้วยกันทั้งคุย ทั้งระบาย ทั้งขำ ทั้งเกือบเศร้า ที่สุดก็หัวเราะกันได้ เด็กหันมาบอกกันว่าดูซิ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว บอกเด็กๆ ว่าชีวิตมันก็เท่านี้แหละ เด็กบอกว่าเข้าใจดีและขอให้เรื่องจบ เพราะอยากอยู่อย่างสบายใจ เราทั้งสี่คน อิอิ…แอบแอ๊บแบ๊วนับรวมตัวเองกับเด็ก
ในที่สุดแนวทางที่เป็นจริงแห่งการสมานฉันท์จึงเกิดขึ้น สีอะไรจะนำไปใช้ก็ได้ไม่สงวนลิขสิทธิ์คือ คำขอโทษ กับคำขอร้อง
เรามาช่วยกันแก้ไขกันดีกว่านะคะ
เด็กๆ น่ารักต่างยอมรับว่าตัวเองว่า  เป็นเด็กแล้วทำกิริยาไม่ดีไปเถียงผู้ใหญ่ คือคำขอโทษ ส่วนคำขอร้องคือ อยากให้เรื่องนี้จบไม่ติดใจ ไม่พูดอะไรๆ ที่ไม่ดีกับพวกเขาทั้งต่อหน้าและลับหลังและรวมไปถึงกับใครๆ แบบนั้นอีก
พิธีการจึงเกิดขึ้นประกอบด้วยเด็กสามคน ผู้ใหญ่สี่คนคือน้องกอล์ฟ ต้นเหตุ น้องอ้อและข้าพเจ้าเห็นภาพของเด็กทั้งสามคนแล้วนึกถึงลูกตัวเองว่า หากเขาประสบกับเหตุการณ์แบบนี้เขาจะยอมทำมั๊ยนะ  ที่ยอมรับ มีเหตุผลและใช้ชีวิตอย่างมีสติ เรื่องแบบนี้ต้องขอบคุณครอบครัว ครูบาอาจารย์ที่บ่มเพาะความเป็นตัวตนของพวกเขา ขอบคุณเด็กๆ แล้วก็ร่ำรากันไป อันนี้เป็นภาพของเด็ก
คราวนี้กลับมามองภาพฝ่ายพวกเราบ้าง หากเกิดสถานการณ์แบบนี้ ข้อแนะนำคือต้องนิ่ง อดทนทบทวนและยอมรับในข้อผิดพลาดของตน เมื่อเด็กขอโทษก็ต้องให้อภัย ทั้งท่าทางและคำพูดที่แสดงความเมตตา ไม่ใช่ฉกฉวยโอกาสดังกล่าวพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก็พูดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จนต้องตัดบทว่าเด็กๆ เขาวัยรุ่นอยู่ไฮเปอร์ได้ แต่วัยพวกเรา อย่าได้ไปไฮเปอร์กับเด็กเลยยยยยยย….นะ มันยุ่ง
มีคนอยู่ในเหตุการณ์หลายคนคงมาเล่าให้ฟังว่าคิดอย่างไร แก้ไขสถานการณ์กันอย่างไร  ดูดิอย่างอื่นมิได้ทำ มานั่งบรรจงเขียนบล๊อก ส่วนคนรอเม้นท์น่ะคอยอยู่ blog นี้ ต้องระวังเพราะหนูปองกลัวมีชื่อ “เจ้าภาพ” เล็ดลอดไปเจ้าค่ะ

4 thoughts on “เป็นท่านท้าว….

  • หลังจากอ่านมุมมองของพี่ปอง ก็มาถึงมุมมองของหัวหน้าเวรที่อยู่ในเหตุการณ์ ก่อนต้องขอขอบคุณพี่ปองที่เข้ามาช่วยกันแก้สถานการณ์จากเครียดกลายเป็นขบขันไปได้ ที่นี้มาว่ากันเรื่องมุมองของเรื่องนี้ โดยส่วนตัแล้วการให้บริการผู้ใช้ การแนะนำตักเตือนผู้ใช้ การเข้าไปช่วยเหลือผู้ใช้ มักคิดเสมอว่า “เป็นครั้งแรกของผู้ใช้” การคิดแบบนี้เป็นการช่วยให้เราเกิดความรู้สึกหงุดหงิด รำคาญ หรือความไม่ชอบน้อยลง อย่างที่พี่ปองว่าก็ถูก เราเห็นบ่อยการกระทำนั้นหลายครั้ง แต่คนที่ทำไม่เคยซ้ำหน้า ถามว่า หากเราแสดงความไม่เหมาะสมกับผู้ใช้ไป ผู้ใช้มักจดจำเรา เพราะเรามีส่วนน้อย เราอยู่กับที่ เราไม่ได้ไปไหน เราอยู่ในที่โล่ง แต่ผู้ใช้มากมายหลากหลายเราจำไม่ได้หรอกว่า เป็นคนไหนที่เรามีปัญหา อีกอย่างก็คือ การที่เราเป็นผู้ใหญ่หรือคิดว่าเราอายุมากแล้ว ผู้ใหญ่ในที่นี้มิได้หมายความว่าเราสามารถที่จะว่ากล่าวตักเตือน หรือพูดเล่นกับผู้ใช้ได้ทุกคน อย่าลืมว่า ผู้ใช้มีหลากหลายประเภท มาจากสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย บางคนเฉยๆ บางคนถือตัว บางคนโกรธ หลากหลายความรู้สึก หลากหลายความคิด คิดเปรียบเทียบเสียว่า เวลาเราไปรับบริการที่อื่นแล้วเราเจอกับตัวเองบ้างเรารู้สึกอย่างไร
    เด็กในช่วงวัยนี้ โดยเฉพาะในยุคนี้เป็นยุคแห่งการกล้าแสดงออก กล้าพูด ผิดกลับยุคสมัยของพวกเรา หากใครสนใจกรุณาไปอ่าน blog เรื่อง “คนพันธุ์เน็ต” ของพี่ยุพดี แล้วจะเข้าใจเด็กนักศึกษาของเรามากขึ้น

  • ถ้าไม่มีสมปอง อยู่ในขณะนั้น หัวหน้าเวรจะแก้ไขสถานการณ์ เหตุการณ์อย่างไร ขอการบ้านบรรณารักษ์ทุกคน (ไม้เว้นคนใดเลย จะอ้างว่าไม่อยู่เวรแล้วไม่ได้ เพราะเป็นการแก้ปัญหาในฐานะของหัวหน้าเว) ขอให้ส่งโดยตรงที่ หัวหน้าหอสมุด ภายในวันที่ 6 สิงหาคม 2552 จะรอรวบรวมเพื่อเป็นแนวทาง

  • คนเราต่างกันจริงๆ อย่างพี่ไม่ชอบให้ใครมาชี้ๆ หรือ วนๆ แถวๆ หน้า อย่างน้องอ้อหรือน้องเอ๋ นี่จะโดนทั้งตีมือและบ่นทุกครั้งที่ทำแบบนี้ เนื่องจากสนิทจึงทำแบบนั้นได้ หากไม่สนิทก็ต้องอดทน อีกอย่างหนึ่งคือไม่ชอบให้ใครที่ไม่สนิทมาจับเสื้อผ้า ตอนมาทำงานใหม่ๆ มีีคนที่เคยเห็นหน้ากันแบบผ่านๆ เดินมาแล้วมาบอกกระโปรงสวยก้มมาจับชายกระโปรงถามว่าผ้าอะไร ก็ถอยหลังออกมาก็ยิ้มไม่ตอบ แถมยังนิสัยไม่ดี ไม่สุงสิงกันคนนั้นเลยอีกเลย เคยเล่าเรื่องนี้ให้หลายคนเขาก็บอกว่าไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องโกรธขนาดนั้น พอฟังมากๆ เราคงบ้าไปแล้วมั้ง หรือเป็นตามวัยก็ไม่รู้นะ ตอนนี้เลยเฉยๆ ใครจะทำอะไรก็ทำไป เข้าใจทั้งนั้นแหละ ยึดมั่นถือมั่นมากจะปวดหัว พอปวดหัวทำให้เราเครียด พอเครียดก็จะคิดอะไรไม่ออก พอคิดอะไรไม่ออกงานการก็จะไม่ก้าวหน้า เครียดจากที่ทำงานก็จะไปลงกับครอบครัว เครียดจากครอบครัวก็ไปออกที่ทำงาน อลวนอลเวงกันไปหมด เลยขอเลือกใช้ชีวิตแบบเข้าใจมนุษย์มากกว่า มัวรอให้คนอื่นมาเข้าใจทุกอย่างมันเสียเวลาและคงไม่มี ทำงานกับนักศึกษา ก็จำลองชีวิตของลูกหลานแถวนี้แหละ เพราะบางคนเราเห็นตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ พอเขาโตๆๆๆ ขึ้นบางทีเรายังไม่เข้าใจเลย นับประสาอะไรกับคนที่เราไม่รู้จักมาก่อนนะ
    ส่วนกรณีนี้ถือว่าโชคดีที่ตัวเองมีประสบการณ์และเรียนรู้มาจากพี่ๆน้องๆ ในหอสมุดฯ อยู่ที่ว่าเราจะหยิบแบบไหนมาใช้ หรือเราจะยึดเรื่องอะไรของใครเป็นแบบอย่าง รวมทั้งจากทฤษฏีที่ได้อ่านมากมายมาใช้ เรื่องแบบนี้เราต้องทำตัวเหมือนบะหมีสำเร็จรูป

  • ความจริงว่าจะไม่ลงจากเคาน์เตอร์แล้วเชียวนะ บังเอิญช่วงนั้นมีผู้ใช้บริการมายืมคืนน้อย ข้างเราก็ว่างพอดี และก็พอดีมองออกไปที่ข้างหน้าเราเห็นมีนักศึกษาชายหญิง 3 คน กำลังสนทนากับคุณพี่อยู่สักพัก ก็ยังไม่เห็นน้อง ๆ เขาเดินเข้ามาสักที ส่วนน้องก๊อฟก็นั่งแต่มองดูทั้งคุณพี่และน้องนักศึกษาโต้วาทีกัน น้องเกจึงกระซิบพี่ตาว่า พี่ตาสงสัยว่าคุณพี่จะทำเรื่องอีกแล้วแน่ พี่ก็เลยบอกว่า เดี๋ยวพี่ลงไปดูซิ พอลงไปก็ถามคนของหอสมุดฯ ก่อนว่า มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ ส่วนคุณพี่ก็ยังพูดไม่หยุด และก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไร เพราะมีผ้าแมสปิดปากอยู่ ก็เลยถามน้อง ๆ ไป น้อง ๆ ก็บอกว่า คุณพี่ของเราไปว่าเพื่อนของเขา สืบเนื่องมาจากเรื่องเก่าเมื่อวันก่อน และมาวันนี้ก็มีคำทักทายอีก (แต่ทักทายลับหลังนะ) เรียกว่าคนของเราก็ไม่ดูตาม้าตาเรือ (คำสุภาษิตโบราณ) เขาว่า จะทำอะไรให้ดูหน้าดูหลัง ดูให้รอบ ๆ ก่อน ไม่งั้นภัยจะมาถึงตัวเราได้ (ไม่รู้ว่าแปลความหมายสุภาษิตนี้ถูกหรือเปล่า) ทำนองนี้แหละค่ะ พี่พูดได้สองสามคำ ก็มีอัศวินม้าขาว มาช่วยเจรจา และก็พาไปสมานฉันท์จนราบรื่นไปแล้ว และงานนี้ก็เป็นบทเรียนกับพี่น้องชาวหอสมุดทุกท่านนะคะ เวลาจะบริการผู้ใช้บริการต้องให้ระวังให้มาก ๆ ทั้งคำพูด กิริยา มารยาท หรือท่าทาง บางทีเราไม่ตั้งใจ แต่อาจจะเป็น Feed black กลับมาหาเราก็ได้

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร