การสังเกตพฤติกรรม
ในรอบประเมินที่ผ่านมา ชาวหอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ทุกท่าน (เฉพาะกลุ่มข้าราชการและพนักงาน) ได้ผ่านการทำแผนพัฒนารายบุคลกันทั่วหน้า และได้มีการส่งรายงานการพัฒนารายบุคคลของแต่ละคนกันไป ผ่านกระบวนการการตรวจจากผู้บังคับบัญชาระดับต้นคือหัวหน้าฝ่าย และผ่านหัวหน้าหอสมุด ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหอสมุดฯ มีทั้งที่ต้องแก้ไข และเพิ่มเติมสิ่งที่หัวหน้าทั้งหลายต้องให้เพิ่มหรือแก้ไขเสร็จสิ้นไป
สำหรับตัวผู้เขียนในฐานะผู้บังคับบัญชาระดับต้น(หัวหน้าฝ่าย) มีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือ การประเมินพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชา เนื่องมาจากว่า ลูกน้องในฝ่ายฯของผู้เขียนมีอยู่ 2 คน ที่นำเสนอแผนพัฒนารายบุคคลในเรื่อง การพัฒนาบุคลิกภาพและการสื่อสารในงานบริการ ซึ่งระบุการวัดผลสำเร็จในแผนฯ คือ 1) มีรายงานสรุป 2) มีการติดตามประเมินผล โดยการเลือกประเด็นจากการอบรมมาพัฒนาตนเองอย่างน้อย 1-2 เรื่อง 3) การสังเกตพฤติกรรม (โดยหัวหน้าทั้งหลายและเพื่อนร่วมงาน) 4) ผลการสำรวจความพึงพอใจ ผู้เขียนจึงต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในเขียนรายงานในการวัดผลข้อที่ 3 การสังเกตพฤติกรรม ซึ่งในข้อที่ 3 นี้หัวหน้าหอสมุดได้มอบหมายว่าเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา (หัวหน้าฝ่าย) ที่จะต้องเขียนรายงาน
เริ่มต้นผู้เขียนนึกไม่ออกว่าจะเขียนรายงานออกมาในรูปแบบไหน ถึงจะบ่งบอกว่า เราในฐานะผู้บังคับบัญชาได้มีการกระทำในเรื่องของการสังเกตพฤติกรรมของลูกน้องจริงๆ ไม่ใช่มานั่งเทียนเขียนไปว่า ลูกน้องเราดีจริง ทำจริง และก็จะมีคำถามจากผู้สงสัยตามมาว่า เอาอะไรมาวัด เอาอะไรมาตัดสิน ดังนั้นผู้เขียนจึงค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการสังเกตพฤติกรรม แนวทาง วิธีการ ขั้นตอน ที่มีการใช้กัน จนสามารถสรุปออกมาเป็น “สรุปรายงานการสังเกตพฤติกรรมของ……เรื่อง การพัฒนารายบุคคล : การพัฒนาบุคลิกภาพและการสื่อสารในงานบริการ”
โดยประเด็นในการพัฒนาของบุคลากรทั้ง 2 ท่าน ได้มีการเลือกประเด็นในการพัฒนาตนเอง แบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ 1) การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน 2) การพัฒนาบุคลิกภายภายนอก
จากการศึกษาเอกสารผู้เขียนจึงขอเรียก “การพัฒนาบุคลิกภาพภายใน” ว่า “พฤติกรรมภายใน” เนื่องจากบุคลิกภาพภายในที่ทั้ง 2 ท่านเลือกคือ ด้านอารมณ์ (ความหงุดหงิด) การควบคุมอารมณ์ และ การคิดและมองต่างมุม และ “การพัฒนาบุคลิกภายภายนอก” ว่า “พฤติกรรมภายนอก” คือ การไหว้ การนั่ง การแต่งหน้า และการแต่งกาย
ซึ่งพฤติกรรม หมายถึง กิริยาอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์หรือที่มนุษย์ได้แสดง หรือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับมนุษย์เมื่อได้เผชิญกับสิ่งเร้า ซึ่งรูปแบบพฤติกรรมของมนุษย์ แบ่งได้เป็น 2 อย่างคือ 1) พฤติกรรมเปิดเผยหรือพฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมา ทำให้ผู้อื่นสามารถมองเห็นได้ สังเกตได้ เช่น การเดิน การหัวเราะ การพูด เป็นต้น 2) พฤติกรรมปกปิดหรือพฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงแล้ว แต่ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้ สังเกตได้โดยตรงจนกว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้บอกหรือแสดงบางอย่างเพื่อให้คนอื่นรับรู้ได้ เช่น ความคิด อารมณ์ การรับรู้ (พฤติกรรมมนุษย์, http://www.novabizz.com/NovaAce/Behavior/พฤติกรรมมนุษย์.htm)
โดยผู้เขียนในฐานะผู้บังคับบัญชาได้ให้บุคลากรทั้ง 2 ท่านศึกษาหรือวิเคราะห์ตนเองก่อนและหลังจากที่ได้รับการอบรมเรื่อง “จิตบริการ (service Mind) : การพัฒนาบุคลิกภาพและการสื่อสารในงานบริการ” เพื่อให้เป็นการอธิบายพฤติกรรมของตนเอง เข้าใจพฤติกรรมของตนเอง และเพื่อควบคุมพฤติกรรมของตนเอง
ซึ่งจะช่วยให้บุคลากรทั้ง 2 ท่าน 1) เกิดความเข้าใจตนเอง จากความเข้าใจตนเองก็นำไปสู่การยอมรับตนเอง และได้แนวทางปรับตน พัฒนาตน เลือกเส้นทางชีวิตที่เหมาะสมแก่ตน 2) รู้จักเลือกรับปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมเพื่อพัฒนาตนทั้งทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติภายในตน เข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล ซึ่งเป็นแนวทางสู่การเสริมสร้างพัฒนาตนและบุคคลอื่นๆ ได้อย่างเหมาะสม 3) เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุของพฤติกรรม เพื่อการพัฒนาตนเอง และพัฒนาคุณภาพชีวิต 4) เพื่อเสริมสร้างมนุษย์สัมพันธ์ การมองตนและประเมินตนเอง การเข้าใจตนและยอมรับตน การเข้าใจผู้อื่น และยอมรับผู้อื่น และสามารถวางแผนปฏิบัติเพื่อการพัฒนาตนและการดำรงตนอย่างเป็นสุข และมีทักษะในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
ในส่วนของการสังเกตพฤติกรรม โดยผู้เขียนในฐานะผู้บังคับบัญชาใช้การรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมเชิงจิตวิทยาด้วยวิธีการ
1. รวบรวมข้อมูลแบบให้เจ้าตัวสำรวจตนเอง ( introspection) เป็นการให้เจ้าตัวผู้ศึกษาหรือผู้ที่ต้องการรู้จักตนได้พิจารณาตนเองแล้ว บรรยายตัวเองออกมา วิธีนี้ใช้ในการรวบรวมข้อมูลที่เป็นพฤติกรรมภายในหรือความในใจ โดยให้ผู้ถูกศึกษาอ่านความรู้สึกของตนเอง แล้วรายงานความรู้สึกออกมา เพื่อหาเหตุและผลแห่งการกระทำนั้น อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหา ป้องกันปัญหา และพัฒนาพฤติกรรม ดังกล่าวข้างต้น
2. การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมโดยผู้อื่น (Observation) วิธีนี้จะให้ผลถูกต้องแม่นยำขึ้น ถ้าผู้สังเกตไม่ทำให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัว และเมื่อบันทึกผลการสังเกตก็ต้องบันทึกอย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นการที่บุคคลรับรู้ข้อมูลจากการสังเกต และบันทึกพฤติกรรมจากผู้อื่นที่มีความตรงและความเชื่อมั่น สามารถช่วยให้เราเข้าใจตนเองได้ดีขึ้น ทั้งนี้การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมโดยทั่วไปทำได้หลายวิธี ดังนี้ 1) ระเบียนพฤติการณ์ (Anecdotal recording) คือ การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสถานการณ์หนึ่งๆ โดยมีสถานที่และเวลาที่กำหนด และไม่มีการแปลความในขณะสังเกตหรือบันทึกพฤติกรรม 2) การบันทึกความถี่ของพฤติกรรม (Frequency recording) คือ การสังเกตจำนวนการเกิดพฤติกรรมในช่วงเวลาหนึ่ง 3) การบันทึกช่วงเวลา (Interval recording) คือ การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งแบ่งออกเป็นช่วง ๆ แล้วเลือกนับเฉพาะช่วงเวลาที่เกิดพฤติกรรมเป้าหมาย ส่วนมากนิยมใช้สำหรับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยากที่จะนับความถี่ เกณฑ์การบันทึกต้องกำหนดให้ชัดเจน สอดคล้องกับลักษณะพฤติกรรมเป้าหมายและจุดมุ่งหมายของการปรับปรุง 4) การสังเกตแบบสุ่มเวลา (Time Sampling) คือ การนับความถี่ หรือจำนวนครั้งของพฤติกรรมในแต่ละช่วงเวลาที่กำหนดจนครบเป้าหมาย 5) การบันทึกความยาวนานของเวลาการแสดงพฤติกรรม (Duration recording) คือ การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป
ในข้อนี้ผู้เขียนในฐานะผู้บังคับบัญชาได้ใช้วิธีการที่ 1 ระเบียนพฤติการณ์ (Anecdotal recording) คือ การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสถานการณ์หนึ่งๆ ไม่มีการแปลความในขณะสังเกตหรือบันทึกพฤติกรรม กับการสังเกตพฤติกรรมภายใน ด้านอารมณ์ (ความหงุดหงิด) กับบุคลากรทั้ง 2 ท่าน พบว่า การแสดงออกซึ่งอารมณ์ในแต่ละสถานการณ์และแต่ละช่วงเวลานั้นมีผลมากจากสิ่งเร้าจากสภาพแวดล้อม เช่น ความเครียดในการทำงาน เสียงโทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งบุคลากรคนที่ 1 สามารถขจัดอารมณ์ที่เกิดจากสิ่งเร้าเหล่านี้ไปได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งผลที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากสิ่งที่บุคลากรคนที่ 1ได้รายงานไว้ในรายงานการศึกษาเปรียบเทียบของตนเองถึงวิธีการสงบสติอารมณ์ การสำรวจอารมณ์ของตนเอง การดึงตัวออกห่างจากสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดอารมณ์นั้นๆ เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์
ส่วนบุคลากรคนที่ 2 ในข้อนี้ผู้เขียนในฐานะผู้บังคับบัญชาได้ใช้วิธีการที่ 1 ระเบียนพฤติการณ์ (Anecdotal recording) เช่นกันในการสังเกตพฤติกรรมภายในเรื่อง การควบคุมอารมณ์ และ การคิดและมองต่างมุมเช่นกัน พบว่าบุคลากรคนที่ 2 การควบคุมอารมณ์ และการมองต่างมุม มีผลกับการทำงานของบุคลากรคนที่ 2 มาก เนื่องในสถานการณ์ปัจจุบันในช่วงที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของระเบียบข้อบังคับต่างๆ ที่ต้องมีการประสานงานกับบุคคลและหน่วยงาน บุคลากรคนที่ 2 สามารถจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี
และวิธีการที่ 3 การบันทึกช่วงเวลา (Interval recording) คือ การสังเกตและบันทึกพฤติกรรมในช่วงเวลาที่กำหนด กับการสังเกตพฤติกรรมภายนอก คือ การไหว้ การนั่ง การแต่งหน้า และการแต่งกายของบุคลากรทั้ง 2 คน พบว่า ลักษณะนิสัยเดิมของบุคลากรคนที่ 1 นั้นเป็นผู้ที่มีสัมมาคาราวะ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ผู้บังคับบัญชาเห็นมาโดยตลอด และภายหลังได้ปรับพฤติกรรมนี้ให้ดียิ่งขึ้น ด้วยการความรู้สึกนึกคิดที่ละเอียดอ่อนขึ้น ส่วนบุคลากรคนที่ 2 สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปจากเดิมในทางที่ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของบุคลิกภาพการแต่งตัว การแต่งหน้า และการนั่ง
แหล่งอ้างอิง :
ปัญญฎา ประดิษฐบาทุกา. (2548). การศึกษาและการประเมินตนเอง. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก : https://www.gotoknow.org/posts/320078 สืบค้นวันที่ 2 ธันวาคม 2559
พฤติกรรมมนุษย์ (Human Behaviour). [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก : http://www.novabizz.com/NovaAce/Behavior/พฤติกรรมมนุษย์.html สืบค้นวันที่ 2 ธันวาคม 2559
หัวหน้าหมู่นักเรียน. พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน. (14 กรกฎาคม 2550) [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก : http://oknation.nationtv.tv/blog/lrukk/2007/07/14/entry-1 สืบค้นวันที่ 2 ธันวาคม 2559
One thought on “การสังเกตพฤติกรรม”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
ชื่นชมนะคะ ที่พยายามหาทฤษฎีเข้ามาแก้ไขปัญหาของตัวเองได้แบบมีหลักการ สมกับที่เป็นบรรณารักษ์ที่มีหน้าที่บอกให้คนอื่นๆรู้จักการแสวงหาสารสนเทศ
วิธีการ/ทฤษฎีใดๆ จะมีผลต่อเมื่อนำไปใช้จริง การประเมินพฤติกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะมนุษย์มักหลีกเลี่ยงและไม่ชอบรับฟังสิ่งที่เป็นด้านลบของตัวเอง ความจริงใจและตรงไปตรงมาบวกกับเวลาทั้งของผู้ประเมินและผู้รับการประเมินจะช่วยได้มาก