ชาตินี้คงไปไม่ถึงไหน ถ้าทำอะไรแค่พอผ่าน
เป็นชื่อหนังสือค่ะ ไปเจอตรง Just Return มุมที่ผู้ใช้บริการชอบมา “มุง” เพราะคนชอบอะไรที่ย่นและย่อ คนทำงานบริการจึงต้องสังเกตพฤติกรรมของผู้ใช้และนำข้อสังเกตไปพัฒนางานให้ได้ นอกเหนือจากแบบสอบถามที่จำกัดความคิด แม้จะมีช่องอื่นๆ แต่ผู้ตอบแบบสอบถามก็คร้านที่จะเขียน หรือบางทีตัวเราจะเข้าไปสอบถามก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไร เพื่อนำมาใช้กับอะไร จึงเป็นข้อจำกัดของการทำงานแบบเชิงรุก ที่เป็นหนึ่งในรายละเอียดของจิตใจใฝ่บริการ ที่คนมักหยุดที่ยิ้มแย้ม พูดจาไพเราะ
ดิฉันอ่านหนังสือเรื่องนี้ร่วมเดือนวันละหน้าสองหน้า ไปค้นในกูเกิ้ลพบว่ามีคนรีวิวมากมาย งานเขียนรีวิวจึงเป็นทางลัดให้กับหลายคน ทั้งในเรื่องของการอ่านและการทำงาน แต่ก็ไม่ใช่ของเรา เพราะเป็นความเห็นของคนรีวิว
กูเกิ้ลทำชีวิตให้ง่ายขึ้นก็จริง แต่ก็มีหลายคนที่ชอบทำชีวิตให้ยากขึ้นด้วยการนำสิ่งทีง่ายไปพัฒนาตัวเอง ด้วยการทำให้หนีไปจากสิ่งที่มี เช่น อ่านจากสิ่งที่มีแล้วไปคิดต่อ หรือวิพากษ์ว่าเห็นด้วยอย่างไร หรือไม่เห็นด้วยอย่างไร หรือยกประสบการณ์เข้าไปประกอบกับเนื้อหาที่เราอ่านเจอ และทำเรื่องนั้นให้เป็นของเรา คนที่ฝึกฝนตัวเองให้ทำเรื่องยากๆ จนเป็นนิสัย ทำให้เป็นคนที่ SMART ไปเองแบบไม่รู้ตัว
อ่านไปครึ่งเล่มบังเอิญไปพบเนื้อหาที่สอดคล้องกับที่เราคิดในบล๊อกเมื่อวานของคำว่า “ฝึกฝน” กับคำว่า “เคี่ยวเข็ญ” ถ้าทำงานวิจัยคงดีใจมากเพราะมีวรรณกรรมมาสนับสนุน
ในหนังสือเล่มนี้ให้คำจำกัดของ “การฝึกฝน” ว่า การฝึกฝนคือ การผลักดันตัวเองให้ทำในสิ่งที่เกินความสามารถในปัจจุบัน (หน้า 105)
ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างการฝึกฝนเรื่องการเขียนของ เบนจามิน แฟรงกลิน ประวัติของเขาหาอ่านประวัติได้มากมาย แต่ที่จะแนะนำคือที่บล๊อกนี้เพราะสรุปความชีวประวัติของเขาจากหนังสือชื่อ The Autobiography of Benjamin Franklin http://inform-invest.blogspot.com/2014/02/benjamin-franklin.html ลองอ่านดูค่ะ
ขอเล่าเรื่องในหนังสือในหน้า 130-131 ว่า เบนจามิน แฟรงกลิน ได้ฝึกฝนการเขียนของเขาด้วยการอ่านบทความในนิตยสารแล้วสรุปความหมายของแต่ละประโยคลงในบันทึกย่อ (อ่านแล้วทำให้นึกถึงบัตร 5 คูณ 7 ที่ครูพร่ำสอนตอนเรียนเรื่องวิชาการใช้ห้องสมุด) หลายวันต่อมาเขาจะหยิบบันทึกย่อดังกล่าวขึ้นมาอ่านแล้วพยายามถ่ายทอดความหมายด้วยสำนวนของตัวเอง เมื่อเขียนเสร็จเขาก็นำผลงานไปเปรียบเทียบกับต้นฉบบเพื่อ “ค้นหาจุดบกพร่องและทำการแก้ไขให้ถูกต้อง”
หนึ่งในจุดบกพร่องที่แฟรงกลินสังเกตเห็นคือการใช้คำที่ยังไม่ดีพอ แล้วเขาจะแก้ไขได้อย่างไรบ้าง เขาเล็งเห็นว่าการเขียนบทกวีต้องอาศัย “คลังคำศัพท์” ขนาดมโหฬาร… นอกจากนี้เขาพบว่าหัวใจสำคัญของงานเขียนที่ดีคือการเรียบเรียงใจความ วิธีการที่เขาทำคือทำบันทึกย่อสำหรับแต่ละประโยคของบทความเหมือนเดิม แต่คราวนี้เขียนลงกระดาษคนละแผ่น จากนั้นรวมๆไว้แบบไม่เรียงลำดับ แล้ววางไว้จนลืม แล้วจึงนำบันทึกย่อมาเรียนลำดับให้ถูกต้อง พยายามเขียนบทความขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปเปรียบเทียบกับต้นฉบับ … “ค้นพบจุดบกพร่องและปรับปรุงแก้ไข” โดยไม่มีครูมาคอยชี้แนะ แต่พ่อของเขาเป็นผู้ชี้ให้เห็นว่าทักษะการเขียนของเขามีจุดบกพร้่องตรงไหนบ้าง และเขาใช้งานเขียนของบุคคลที่เก่งกว่าเป็นครูแทน และรู้จักเลือกอ่าน
ผู้เขียนตั้งขอสังเกตว่า แฟรงกลินไม่ได้ฝึกฝนด้วยการนั่งเขียน แต่หันไปทุ่มเทกับการปรับปรุงองค์ประกอบที่จำเป็นต้องแก้ไข โดยเริ่มจากการปรับปรุงโครงสร้างประโยค การสรุปและเรียบเรียงประโยคในบทความขึ้นมาใหม่ทีละประโยค แสวงหาคำศัพท์ และฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความอุตสาหะภายใต้เวลาที่มีจำกัดเนื่องจากต้องทำงานและภารกิจอื่นๆ แล้วนำผลงานที่เขียนด้วยตนเองกลับไปเปรียบเทียบกับต้นฉบับที่เลือกอ่านเพื่อเป็นข้อมูลย้อนกลับ และผู้เขียนเรียกวิธีการนี้ว่า การฝึกฝนอย่างจดจ่อ
วันก่อนมีน้องคนนึงบอกว่าอยากจะทำแผนพัฒนาตนเองด้วย “การอ่านจับใจความ” ดิฉันมีความเห็นว่า “ดี” เพราะเป็นสิ่งจำเป็นมากกับการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งส่วนตัวและการทำงาน บอกไปว่าคงต้องมาฝึกกับดิฉันนี่แหละ 😳 จึงทำให้กลับไปคิดว่าจะทำอย่างไรดีให้น้องได้ผลตามที่ตั้งใจ
เรื่องแบบนี้เคยฝึกให้กับบรรณารักษ์เมื่อนานมาแล้ว แต่นานแม้กระทั่งตัวเองยังจะลืม!! วิชาพวกนี้ดิฉันได้รับการสอนจากอาจารย์ในสมัยเรียนปริญญาตรี และยังใช้ได้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งทักษะแบบนี้ต้องทำควบคู่กับการฝึกฝน บทที่ 8 ของหนังสือสนับสนุนว่า ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไร ก็ยิ่งได้เปรียบเท่านั้น
ที่เล่ามาเป็นแค่เสี้ยวเล็กๆของหนังสือที่คิดว่าน่าอ่านเพราะเป็นหนังสือที่ชวนให้เราคิดตามอยู่ตลอดเวลา ตามวิสัยของมนุษย์มักชอบที่จะนำเรื่องราวต่างๆ มาเปรียบเทียบกับตัวเอง
มุมบนขวามือของหนังสือโปรยคำว่า เคล็ดลับพัฒนาความสามารถที่รู้กันเฉพาะในหมู่คนเก่งระดับโลก แต่คนธรรมดาไม่เคยรู้
สนใจจองต่อจากดิฉันได้ เพราะตั้งใจจะใช้วันหยุดนี้อ่านวนไปค่ะ