10 นาที
ตั้งแต่มีการสัมมนาทางวิชาการของ PULINET ทำให้ชินกับการ “พูด” แบบมีระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 10 – 20 นาที
ดิฉันจะทึ่งเวลาพบครูอาจารย์ที่สามารถสอนติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ รวมทั้งทึ่งในความสามารถที่หากลเม็ดมาสอน โดยที่ผู้เรียนไม่เบื่อ
เวลาเตรียมสไลด์ดิฉันจะใช้วิธีทำไปแล้วนึกไปในคราวเดียวเลยว่าจะพูดอะไร ไม่ค่อยซ้อมจับเวลาเพราะเป็นคนขี้เกียจ และมักกะๆว่านาทีละสองรูป หากต้องพูดยาวๆแบบสามชั่วโมงติดกัน จะทำเป็นสองำฟล์ เพราะจะมีเวลาพักครึ่ง
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใครๆต่างยอมรับว่าตรงเวลา แบบเป๊ะเว่อร์ … ตอนไปอยู่ที่ปรึกษาจะแจ้งกำหนดเวลาแบบละเอียดยิบ ย้ำแล้ว ย้ำอีก จากนิสัยเดิมๆ ที่ไม่ค่อยจะซ้อม ทำให้ต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก เพราะกลัวพลาด
แต่ชีวิตจริงในเรื่องที่เกี่ยวกับคนและคน มักมีการยืดหยุ่นด้วยคำพูด หรือจดหมายน้อย หรือป้ายเตือน เช่น เตือน บอกให้พูดให้ตรงเวลา หรือให้ข้ามไปตรงสรุป
ส่วนชีวิตจริงที่เกี่ยวกับสิ่งไม่มีชีวิต เครื่องจักรหรือกฎเกณฑ์ คนจึ่งต้องระวังทำตามที่วางไว้เพราะมิฉะนั้นจะพลาด เพราะเมื่อผ่านไปก้อเท่ากับเราต้องบวกเวลาเพิ่ม ใครที่เคยตกรถ ตกเครื่องบิน คงจะเข้าใจดี…
แต่ชีวิตจริงในเรื่องที่เกี่ยวกับคนและสิ่งไม่มีชีวิต จะมีการยืดหยุ่นบ้าง และการยืดหยุ่นนั้นมาจากระบบและการพิจารณาจากคน เช่น เวลารถไฟชินคันเซ็นเสียเวลา จะมีโต๊ะตั้งแจกสลิปให้ผู้โดยสารนำไปเป็นหลักฐานให้ที่ทำงาน
ทราบ
อยู่ที่โน่นจึงมีกรอบของเวลาเป็นตัวกำหนด เพราะจะทำให้เราสามารถจัดการกับชีวิตมากขึ้น ถามว่าอึดอัดมั้ย ส่วนตัวแล้วเฉยๆ มองเป็นเรื่องขำๆว่า อะไรจะเป๊ะเว่อร์ขนาดนั้น และมักแก้เหงาด้วยการเล่นนับถอยหลังว่ารถเมล์จะมาตรงเวลาหรือไม่
แต่กว่าจะตรงขนาดนั้นดิฉันเชื่อว่าต้องผ่านกระบวนการอะไรๆ มามากมาย
10 นาทีที่เห็นบนเวที เบื้องหลังของคนที่รับผิดชอบอยู่นั้นต้องผ่านระบวนการคิด และกระบวนการทำมากมาย ไม่รู้สักกี่เท่า
จะหนึ่งวินาที สิบนาที หรือหลายชั่วโมงต่างมีค่า เราในฐานะผู้ใช้เวลาจึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง