พลังแห่งขิง
ขิงจัดได้ว่าเป็นพืชสารพัดประโยชน์ชนิดหนึ่ง ที่ประเทศญี่ปุ่นเกิด “ปรากฏการณ์บูมขิง” อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สินค้าบริโภคต่าง ๆ ที่วางขายมีขิงเป็นส่วนผสมแทบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ซุปสาเร็จรูป ลูกอม ชาขิง เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้มาจากคุณหมออิชิฮะระ ที่ใช้วิธีการดูแลสุขภาพตามแนวทาง “การดูแลสุขภาพสูตรหมออิชิฮะระ” ที่ศึกษายาสมุนไพรจีนและมีขิงเป็นส่วนประกอบ พบว่าขิงมีสรรพคุณมากมาย อาทิ ขับเหงื่อ ลดไข้ บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ บำรุงกระเพาะอาหาร ขับลม เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทางานของหัวใจ เป็นต้น
ขิงเป็นพืชสมุนไพรของญี่ปุ่นมาช้านาน ว่ากันว่าวัฒนธรรมการปลูกขิงเริ่มเผยแพร่เข้ามาในญี่ปุ่นราวคริสต์ศตวรรษที่ 3 จากประเทศจีน ในตำราแพทย์โบราณของญี่ปุ่นยังบันทึกไว้ว่า บรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางสมัยเอฮันต่างยอมรับในสรรพคุณของขิง และใช้เป็นยารักษาโรคหวัดมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ปัจจุบันจำนวนผู้ที่มีภาวะตัวเย็นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว หรือช่วงที่อากาศเย็น ก็เป็นเรื่องปกติที่ร่างกายจะเย็นและเกิดอาการเจ็บป่วย แต่ในช่วงฤดูร้อนที่ควรจะรู้สึกร้อน กลับมีคนใช้เครื่องปรับอากาศ จนป่วยเพราะร่างกายเย็น และต้องมาหาหมอ คนประเภทนี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ อาการต่าง ๆ ที่ระบุพยาธิสภาพชัดเจนไม่ได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยไหล่ ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดหลังและเอว หัวใจเต้นแรง หายใจหอบ หรือโรคต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคภูมิแพ้ โรคซึมเศร้า ล้วนบ่งชี้ว่ามีสาเหตุมาจาก “ภาวะตัวเย็น” อาจกล่าวได้ว่า หากจะรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ของร่างกายให้หายขาดต้องเริ่มจากการ “ทำให้ร่างกายอบอุ่น” เสียก่อน และอาหารที่ ทำให้ร่างกายอบอุ่นได้ดีที่สุด คือ ขิง นั่นเอง
นอกจากเรื่องการใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในห้องปรับอากาศแล้ว นิสัยการกินดื่มที่ไม่ถูกต้องของคนในปัจจุบัน โดยเฉพาะการกินมากเกินไป ก็เป็นสาเหตุสำคัญ เพราะคนในปัจจุบันไม่ได้ออกกำลังหรือใช้แรงงานมากอย่างในสมัยก่อน เพราะฉะนั้นโดยพื้นฐานแล้ว การกินอาหารวันละ 3 มื้อ จึงถือว่ามากเกินไป การกินมากเกินไปยังเป็นสาเหตุทำให้เลือดสกปรกและข้นหนืด เมื่ออาหารที่กินย่อยไม่หมดก็จะกลายเป็นของเสียที่ทาให้เลือดสกปรก และย่อมเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคทั้งปวง
18 สรรพคุณของขิงที่น่าสนใจ
สารประกอบในขิงซึ่งเป็นที่สนใจเป็นพิเศษคือ จินเจอรอล (gingerol) และ โชกาออล (shogaol) เป็นสารที่ทำให้เกิดรสเผ็ดร้อน จินเจอรอลมีสรรพคุณช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวกและบรรเทาอาการคลื่นไส้ นอกจากนี้น้ำมันหอมระเหยในเปลือกขิงยังมีสารประกอบมากกว่า 400 ชนิด เช่น ซิงจิเบอรอล (zingiberol) บอร์นีออล (borneol) เป็นต้น
ต่อไปนี้คือผลการวิจัยที่ได้รับการรับรองจากทั่วโลกถึงคุณประโยชน์ของขิง
อบอุ่นร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ขับเหงื่อและเสมหะ บรรเทาอาการไอ ลดไข้ แก้ปวด แก้อักเสบ ควบคุมการแข็งตัวของเลือด บำรุงหัวใจ เพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการคลื่นไส้ ยับยั้งเชื้อโรคและไวรัส ป้องกันอาการหน้ามืดวิงเวียน ลดคอเลสเตอรอล ดูแลระบบสืบพันธุ์ ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ป้องกันภาวะซึมเศร้า ช่วยขับพิษ
การดูแลสุขภาพตามสูตรของคุณหมออิชิฮะระ คือ “ขิง + ชาฝรั่ง + น้ำตาลทรายแดง” โดยคุณหมอให้เหตุผลถึงสาเหตุที่ต้องใช้ชาฝรั่งว่า “ชาฝรั่งก็เป็นชาที่หมักจากชาเขียวแต่ให้ผลต่อร่างกายแตกต่างจากชาเขียว ชาฝรั่งมีสาร theaflavin ซึ่งเป็นสารสีแดงเข้ม มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ เมื่อนำมาจับคู่กับขิงก็จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการกำจัดภาวะตัวเย็น หมอไม่แนะนำให้ใช้น้ำตาลทรายขาว เพราะเป็นอาหารฤทธิ์เย็น ควรใช้น้ำตาลทรายแดง เพราะมีฤทธิ์ร้อน ขิง + ชาฝรั่ง + น้าตาลทรายแดง เป็นอาหารฤทธิ์ร้อนที่มีสรรพคุณดีเยี่ยม หากดื่มประจำทุกวันจะช่วยลดโอกาสในการป่วยเป็นหวัด
สุดท้ายนี้คุณหมอยังแนะ 8 เคล็ดลับวิธีดูแลสุขภาพด้วยขิง ดังนี้
– ดื่มชาขิงวันละ 3-6 ถ้วย
– เติมน้าตาลทรายแดงลงในชาขิง
– ดื่มชาขิงก่อนอาหารเช้าและก่อนแช่ตัวในน้ำร้อนตอนเย็นทุกวัน
– ใช้ขิงที่บดใหม่ ๆ
– เติมขิงที่บดใหม่ ๆ
– ไม่ดื่มน้าเย็น
– กินแต่พออิ่ม อย่ากินจนเกินอิ่ม
– ปฏิบัติต่อเนื่องอย่างน้อย 7 วัน
อ่านคุณประโยชน์ของขิงเพิ่มเติมได้ที่ RA776.95 อ62
อิชิฮะระ, ยูมิ. สลิม สวย สมดุลด้วยสูตรพลังแห่งขิง. กรุงเทพฯ : อมรินทร์สุขภาพ, 2557.