การบริการด้วยใจไร้ความโกรธ
ความโกรธ เป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่พอใจ ไม่ถูกใจ แล้วแสดงพฤติกรรมออกมาโดยขาดสติในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นตามมามากมาย ซึ่งคนบางคนเป็นมักโกรธง่าย พอโกรธขึ้นมามักแล้วก็ต้องทำอะไรรุนแรงออกไปทำให้เกิดความเสียหายซึ่งหลักธรรมะที่เป็นคู่ปรับสำคัญของความโกรธคือ ความเมตตา
บางคนที่รู้ใจและเห็นใจคนขี้โกรธก็จะพยายามช่วยเหลือเพื่อระงับความโกรธด้วยการชี้ให้เห็นโทษของความโกรธโดยใช้คุณของความเมตตาเป็นตัวระงับความโกรธ ในเรื่องของความโกรธนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวของเรามากที่สุดและมักพบเห็นอยู่เสมอ ๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเพื่อน ครอบครัว องค์กร แต่เราจะตัดคำว่า โกรธออกไปได้อย่างไรเมื่อมีตัวกระตุ้น หรือสิ่งเร้า ที่ทำให้ความโกรธได้แสดงตนออกมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่มีภารกิจหลักงานด้านการให้บริการซึ่งเป็นลักษณะการทำงานที่จะต้องสื่อสาร สนทนา กับผู้มารับบริการที่มีพฤติกรรม มุมมอง ทัศนคติ อันหลากหลายนานัปการ ซึ่งผู้ที่ทำหน้าที่ให้บริการมีโอกาสที่จะต้องพบอยู่เสมอนำมาซึ่งเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดตัวกระตุ้นหรือสิ่งเร้าที่ทำให้ความโกรธเกิดขึ้นได้เสมอ
ในทางปฏิบัตินั้นผู้ให้บริการที่ดีไม่มีสิทธิแสดงความโกรธออกมาให้ผู้รับบริการเห็นอย่างประจักษ์แจ้ง แต่มีหน้าที่ตั้งสติในการ ตัด ระงับ ตัวที่ทำให้ความรู้สึกถึงความโกรธเกิดขึ้น เท่านั้น ดังนั้น วิธีการ ตัด ระงับ ตัวที่อาจจะทำให้เกิดความโกรธไม่ให้เกิดขึ้นเพื่อมาบั่นทอนจิตใจให้เศร้าหมอง โดยไม่รู้สึกหวั่นไหวกับสิ่งที่มากระตุ้นให้เกิดความโกรธในทางพุทธศาสนา คือ
การตั้งสติ นั่นหมายถึงการรู้สึกว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ แล้วพยายามที่จะเข้าใจผู้อื่นโดยให้หลักของความเมตตา เพื่อไม่ให้จิตใจของเราหม่นหมองไปกับความโกรธที่ไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้และเป็นเรื่องไร้สาระ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างแต่ความเสียหายให้กับทุกฝ่าย ดังนั้นแนวทางการระงับความโกรธที่ควรปฏิบัติ มีดังนี้
การนึกถึงผลเสียของการเป็นคนขี้โกรธและสอนตนเองอยู่เสมอว่าให้เป็นคนเมตตา ระงับความโกรธด้วยวิธีการตั้งจิตเมตตาขึ้นมาแทน เมตตานั้นช่วยกำจัด และป้องกันความโกรธไปในตัว ผู้มีเมตตา ย่อมสามารถเอาชนะใจคนอื่น ซึ่งเป็นชัยชนะที่เด็ดขาด ผู้ตั้งอยู่ในเมตตา ชื่อว่าทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทำให้จิตใจสดชื่น ผ่องใส มีความสุข หรือ การระงับความโกรธด้วยวิธีการใช้ความดีเข้าตอบด้วยการเป็นผู้ให้ผู้เสียสละ
ซึ่งเป็นวิธีแก้ความโกรธที่ได้ผลทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร เป็นเมตตากรุณาที่แสดงออกในการกระทำ เมื่อเขาโกรธมา ถ้าเราพิจารณาถึงแกนสารจริง ๆ แล้ว ก็เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีตัวตน ซึ่งถ้าเราไม่โกรธตอบไปมีสติระงับใจไว้อย่างน้อยก็ช่วยให้สถานการณ์นั้นดีขึ้น ซึ่งเป็นการช่วยทั้งเขาและตัวเราเอง การสร้างทุกข์ให้ตัวเองและเป็นการลงโทษตัวเองให้สมใจศัตรู
พิจารณาโทษของความโกรธมีพุทธเจ้าสอนไว้ว่า คนขี้โกรธจะมีผิวพรรณไม่งาม นอนก็เป็นทุกข์ เวลาถูกความโกรธครอบงำมีแต่ความมืดมน ความโกรธแสดงให้เห็นเดชทำให้คนไม่กลัวอะไร ยางอายก็ไม่มี ถ้อยคำไม่มีคารวะ ซึ่งความโกรธมีแต่ทำให้เกิดความเสียหาย ไม่มีผลดีอะไรเลย จงฆ่ามันทิ้งไป และนึกถึงความดีของคนที่เราโกรธอย่าไปมองส่วนที่ไม่ดีของเขาหรือข้อบกพร่องของเขา พึงมองส่วนที่ดีของเขาเอาขึ้นมาระลึกนึกถึง
ถ้าเขาไม่มีดีอะไรเลยก็ควรสงสารเขาเมื่อความโกรธเลือนหาย ความรักใคร่ก็เข้ามาแทน ความเป็นศัตรูกลับกลายเป็นมิตร ไฟพยาบาทก็กลายเป็นน้ำทิพย์แห่งเมตตา ความแผดเผาเร่าร้อนด้วยทุกข์ที่เร้ารุมใจ ก็กลายเป็นความสดชื่นผ่องใสเบิกบานใจด้วยความสุข
การปฏิบัติงานบริการ หัวใจหลัก คือ ผู้ให้บริการมีจิตใจใฝ่บริการ ผู้รับบริการเกิดความประทับใจ พึงพอใจ และความโกรธนั้นเป็นภัยอันร้ายแรงที่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ให้บริการ ผู้รับบริการ ระบบการปฏิบัติงานและภาพลักษณ์ขององค์กรได้เช่นกัน
ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กรผู้ปฏิบัติงานด้านการบริการควรจะเข้าใจและรู้จักกลวิธีในการเอาชนะความโกรธไม่ให้มาบั่นทอนจิตใจให้เศร้าหมองด้วยการมีสติรู้เท่าทันความโกรธ ด้วยการนำหลักของความเป็นผู้มีเมตตามาใช้แล้วเป็นผู้ที่พยายามเข้าใจผู้อื่นดีกว่าจะให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา นี้คือเทคนิคง่าย ๆ ถ้าปฏิบัติได้ ความสุข ความสบายใจ การเป็นผู้มีจิตใจที่ร่าเริงแจ่มใสตลอดเวลาย่อมเกิดขึ้นตามมาแน่นอน
One thought on “การบริการด้วยใจไร้ความโกรธ”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
ขอชมเชยและขอขอบคุณพวกเราที่ทำงานด้วยจิตมุ่งบริการ 95% พฤติกรรมการให้บริการ
อยู่ในระดับดีมากขึ้นไป คน คน คน มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ และอารมณ์ สำหรับผู้ให้บริการแล้วต้องอดทน อดกลั้น ต่ออารมณ์ของผู้มาใช้บริการมากกว่าปกติ ก็เราอยู่ในที่แจ้ง ผู้มาใช้บริการอยู่ในที่ลับ ฝากน้องๆดูตัวอย่างพี่นัยนา งานเคาน์เตอร์เหมาะสมกับนัยนามากที่สุด ไม่ใช่ว่าคนอื่นไม่เหมาะหรือ เหมาะเกือบทุกคนแหละ แต่เพราะพี่นัยนาอยู่กับเคาน์เตอร์ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2522 เป็นต้นมาเป็นเวลา 34 ปีกว่าเอง