มาทำงานน้อย แต่ได้คะแนนประเมินมาก จริงหรือ?
ผ่านมา 3 รอบแล้วที่มหาวิทยาลัยศิลปากรเปลี่ยนระบบการพิจารณาความดีความชอบเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือน โดยวัดจากผลสัมฤทธิ์ของงานด้านตัวชี้วัดผลงานหลัก (Key Performance Indicators : KPIs) และการประเมินพฤติกรรมการปฏิบัติงานด้านความสามารถหรือสมรรถนะ (Competency) ทุกครั้งที่ได้รับเอกสารสีชมพูหรือหนังสือแจ้งผลการเลื่อนเงินเดือน ก็มักจะมีเสียงสะท้อนกลับมา เช่น ทำไมคนที่มีวันลามากกว่าคนอื่น จึงได้เลื่อนขั้นเงินเดือนเท่ากับคนอื่น หรือได้เลื่อนมากกว่าคนอื่น ทำไมทำงานมากกว่าคนอื่นจึงได้ผลตอบแทนน้อยกว่าคนอื่น และอื่น ๆ อีกมากมาย
ผู้เขียนขออธิบายตามความเห็นส่วนตัวในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
ในการประเมินผลการปฏิบัติงานนั้น จะแบ่งคะแนนออกเป็น 2 ส่วน คือ Competency 30% และ KPIs 70% รวมเป็น 100 %
– Competency 30% จะประเมินจาก สมรรถนะหลัก 4 ข้อ และสมรรถนะตามสายงาน 4 ข้อ หากเป็นผู้บริหารตั้งแต่หัวหน้าฝ่ายหรืองานที่ถูกต้องตามกฎหมายขึ้นไป จะถูกประเมินสมรรถนะการบริหารจัดการอีก 5 ข้อ
– KPIs 70% ประเมินจาก งานที่แต่ละคนปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์ขององค์กร (25%) ผลลัพธ์ของงานหลักที่รับผิดชอบ (70%) และงานที่ได้รับมอบหมาย (5%) รวมเป็น 100% โดยคิดค่าถ่วงน้ำหนักเท่ากับ 70%
หากทุกคนได้คะแนน Competency เท่ากันหมดคือ 30% ดังนั้นจะมาวัดความแตกต่างกันที่ KPIs ซึ่งก็มีโอกาสได้คะแนนประเมินเท่ากันได้ ถึงแม้จะมีวันที่มาปฏิบัติงานไม่เท่ากัน
สมมติว่า คุณ ก คุณ ข และคุณ ค ทำงานด้วยกัน มี KPIs ที่เหมือนกัน 1 กิจกรรม คือ การทำรายการทรัพยากรสารสนเทศ มีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
เกณฑ์คะแนน 1 คือ น้อยกว่า 8 ชื่อ/วัน
เกณฑ์คะแนน 2 คือ 8-10 ชื่อ/วัน
เกณฑ์คะแนน 3 คือ 11-15 ชื่อ/วัน
ในรอบการประเมินหนึ่งซึ่งมี 6 เดือน มีวันทำงานประมาณ 105 วัน คุณ ก และคุณ ข มาปฏิบัติงานครบ 105 วัน โดยไม่มีวันลา ส่วนคุณ ค มีวันลาป่วย และลากิจ 22 วัน ซึ่งอยู่ในข่ายที่ได้รับการพิจารณาให้เลื่อนขั้นเงินเดือนได้ตามระเบียบวันลาของข้าราชการ ดังนั้น คุณ ค จึงมีวันที่มาปฏิบัติงาน 83 วัน หากทุกคนทำงานตามกิจกรรมดังกล่าวได้เท่ากัน คือ สามารถทำได้ 15 ชื่อ/วัน ดังนั้นทุกคนจะได้คะแนนอยู่ในเกณฑ์ 3 เท่ากัน แต่จะเห็นได้ว่าผลผลิตที่ทุกคนทำให้กับหน่วยงานไม่เท่ากัน คือ คุณ ก และคุณ ข ทำได้ในรอบการประเมินดังกล่าวคนละ 1,575 ชื่อ(105×15) ส่วนคุณ ค ทำได้ 1,245 ชื่อ(83×15)
เหตุดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้กับกิจกรรมหรืองานที่วัดเกณฑ์คะแนนกันด้วยเกณฑ์คุณภาพได้เช่นกัน ยกตัวอย่าง เช่น คุณ A คุณ B คุณ C และคุณ D ทำงานทีมเดียวกันคือการบริการยืม-คืน มีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
เกณฑ์คะแนน 1 คือ มีบริการและมีการรับส่งงาน
เกณฑ์คะแนน 2 คือ มีเกณฑ์คะแนน 1 + มีการรายงานผลการปฏิบัติงาน
เกณฑ์คะแนน 3 คือ มีเกณฑ์คะแนน 2 + เสนอความเห็นเพื่อแก้ไข/พัฒนางาน
สมมติว่า คุณ A คุณ B และคุณ C มาทำงานในรอบการประเมินดังกล่าว 105 วัน ส่วนคุณ D มาทำงาน 83 วัน ซึ่งในวันที่คุณ D ไม่มาปฏิบัติงาน ทั้งคุณ A คุณ B และคุณ C จึงต้องช่วยกันทำงานแทนคุณ D เนื่องจากเป็นงานให้บริการจึงไม่สามารถหยุดรอให้คุณ D มาปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ หากในรอบการประเมินนั้น ทั้ง 4 ท่านทำคะแนนอยู่ในเกณฑ์ 3 เหมือนกัน คือ มีเกณฑ์คะแนน 2 + เสนอความเห็นเพื่อแก้ไข/พัฒนางาน ทั้ง 4 ท่านก็จะได้คะแนนประเมินเท่ากัน
ด้วยเหตุนี้หน่วยงานจึงจำเป็นต้องมีกิจกรรม เพื่อกระตุ้นให้บุคลากรมีความรับผิดชอบต่อองค์กร โดยมีตัวชี้วัดคือ จำนวนวันลาป่วย ลากิจ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับผู้ที่มีวันลาป่วยและลากิจน้อยด้วยคะแนน 5%
บางท่านอาจคิดโต้แย้งว่า ในเวลาราชการมาทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็มาทำให้ช่วงนอกเวลาราชการแล้ว แต่หากคิดกลับกัน เนื่องจากหน่วยงานของเราเป็นหน่วยงานให้บริการ ในเวลาราชการมักจะมีงานที่ต้องประสานงานกับหน่วยงานอื่นหรือผู้ใช้บริการ งานที่ต้องการร่วมกันตัดสินใจแก้ไขปัญหาในทันที งานที่ต้องการให้หลายคนช่วยกันทำให้เสร็จโดยเร็ว งานที่ต้องอยู่ในจุดบริการต่าง ๆ ซึ่งต้องสลับกันพักรับประทานอาหารกลางวัน เป็นต้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องการผู้ที่สามารถอยู่ปฏิบัติงานในเวลาราชการได้เต็มที่มากกว่า
แต่ไหนไหนก็ไหนไหน เราทำงานอยู่ด้วยกัน เปรียบเสมือนลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องช่วยกันพายไปให้ถึงจุดหมาย หากมีใครเหนื่อยล้า หรืออ่อนแรงไปบ้างก็สมควรได้พักเพื่อเยียวยา เพื่อจะได้มีแรงมาช่วยกันพายต่อ จริงไหมค่ะ 😆
One thought on “มาทำงานน้อย แต่ได้คะแนนประเมินมาก จริงหรือ?”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
อ่านเสร็จเริ่มเหนื่อยล้า ขอลายาว ๆ ๆ ๆ