เหล่าตั๊ก ลั๊ก : เรื่องอยากเล่า…ตลาดเก่าชุมชนริมน้ำคลองลัดพลี (ตอน 6)
นึกว่าจบแล้วชิมิ…พี่น้อง อิอิอิ
ยากสสสสสสส์ เพราะมันยาวววววววว ยิ่งกว่าหนังไตรภาค
จะอ่านต่อ…ก็ตามมา…มะอ่านต่อ….แล้วตามมาไมล่ะ….ฮิ้วววววววววววว
ไป…ไปต่อ ให้จบๆ ป่ะ นะ..ตะเอง ไหน ไหน ก็ไหน ไหน หลวมตัวอ่านมาตั้ง 5 ตอนละ ป่ะกาน
บทที่ ๗ ที่โดนๆ…ได้ใจ…ขนำน้ำกลางทะเล
เรือลูกทีมของที่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ จากการพูดคุยกันบนขนำน้ำกลางนา…ไม่ได้โม้…ก็นาทะเล นาหอยไงจ๊ะ พี่ท่านเวลาว่างเว้นจากการรับส่งคนเมืองที่อยากเที่ยวท่องล่องทะเลอย่างพวก เรา เธอมีอาชีพทำฟาร์มหอย ที่บอกว่าลงทุนครั้งหนึ่งๆ ทั้งค่าหอยยุวชนที่ต้องเอามาฟูมฟักพักเลี้ยงบนหลักไม้ไผ่ ค่าแรงลูกน้อง ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ตลอดระยะเวลาปีชนปีที่ต้องอนุบาลคุณหนูหอย ให้เติบใหญ่กว่าจะเก็บขายได้ราคา เงินลงทุนเป็นตัวเลข ๖ หลัก++ ทีเดียว แถมยังต้องเสี่ยงดวงกับเพื่อนบ้านข้างจังหวัด ที่บางปีก็หวังดีประสงค์ร้าย แอบเอาน้ำเสียจากโรงงานล่องเรือทุกมาปล่อยลงทะเลซะง้านนนนน…นี่มันน้ำปลิด วิญญาณชัดๆ…ปีไหนโดนเข้าแบบนี้ก็เป็นอันหมดตัว…แต่พี่ท่านก็ไม่ผูกใจ เจ็บนะ เพราะถามว่าแล้วทำไง พี่เค้าบอกก็หากู้หนี้ยืมสินลงทุนใหม่ต่อไป…เฮ้อออออออ เป็นเราคงหากู้หนี้ถอยเรือดำน้ำสุ่มยิงมันปีหน้า ให้ตายตามน้องหอยนับพันตันนั่นไปท่าจะดีกว่า…ใจดำชะมัด
ฟังเรื่องเล่าชาวเลแบบ ถามมาตอบไปเพลินๆ หลากหลายเรื่องราวกันอยู่พักใหญ่ ตะวันเริ่มคล้อยต่ำ พวกเราก็เตรียมเก็บข้างของ เสบียงกรัง ทั้งที่หมด ทั้งที่มี (เหลือ) ขนกลับขึ้นฝั่ง แบบไม่ประสงค์ให้เหลือร่องรอยของมนุษย์อย่างพวกเราที่บังเอิญได้มาดื่มกิน ความสุขจากธรรมชาติแล้วบังอาจถ่ายทิ้งปฏิกูลไว้กลางทะเล แต่ด้วยความหวังดีประสงค์ร้ายเล็กน้อย น้องหนูเขียดพลั้งทำเจ้าถุงขยะน้อยๆ ตกกลางทะเลใจ…เอ…อันนี้คงไม่ใช่ พอดีหนูเขียดส่งรับกับพี่คนเรือมั้ง…ไม่ทันเห็น…แต่รู้ว่ามันพลัดตกไป พี่คนเรือแกก็รักทะเลของแกนิ ถอยเรือออกมาจากกระเตงได้หน่อยพอใกล้ๆ หัวเรือ ขยะน้อยก็ลอยตุ๊ปป่องมาหาพระเอกพี่ปัญของชาวคณะ ให้ได้สอยกลับเข้าฝั่งด้วยกันเรียบร้อยไป…เฮ้อ…โล่งป่ะ…เกือบทำนิเวศ ฆาตกรรมซะแล้นพวกเรา
กลับมาใกล้ถึงปากคลองก็ให้แปลกใจ เพราะกลุ่มครอบครัวที่จับจองพื้นที่บนกระเตงก่อนเราด้วยความสนุกสนาน โดดๆ ดำๆ ขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนกระเตงกับทะเลสลับไปมา ที่ล่วงหน้ากลับมาก่อนเรานานเป็นชั่วโมงไหงเพิ่งมาถึงตรงชายเลน ที่ตอนนี้น้ำงวดลงกว่าเมื่อขาไปอีก พี่คนเรือเฉลยว่ากลุ่มคณะครอบครัวนั้นเค้าไปปลูกป่ากันมา แหม…อุณหภูมิรอบดวงตาสูงขึ้นเลยทีเดียว…แหะ แหะ อยากไปมั่งง่ะ หือ หือ
ขาไปเห็นน้องแสมริมสองฝั่งเลนเป็นทิวแถว แกก็คงงงๆ กับวานรพัฒนาอย่างพวกเราว่ามาทำไร ขากลับน้องๆ แกก็ยังมานั่งดูพวกเราเป็นทิวแถวมากมายอีกเหมือนเดิม บ้างก็ดำผุดดำว่าย บ้างก็เดินขวักไขว่ไปมา บ้างก็มีลูกยากอดรัดอยู่แนบอก เราแอบได้ยินเจ้าลิงน้อยกระซิบถามแม่ผ่านสายลมทะเลมา…แม่ๆ เจ้าพวกนั้นมันตัวอารายน่ะ หน้าตาคล้ายเราเลยนะ แต่ทำไมไม่สวยเหมือนแม่กะหนูก็ไม่รู้นิ…
บทที่ ๘ ที่เฮเฮ..ซะมากมายผู้คน..ตลาดอัมพวา
เออนะ…บทต้องเขียนถึงชื่อตลาดแห่งนี้ขึ้นมา เริ่มสับๆ สนๆ อ+สระอำ หรือ อ+ไม้หันมอม้า…หว่า หันไปถามเจ้าตัวโตโดนย้อนซ๊าาาาา คนไทยรึเปล่า…แหม!! มันน่ามะ!!
เขียนได้ละ เอ…แต่แปลว่าไรล่ะ ไม่ได้ต้องรู้ม่ายงั้นติดค้าง หา..หา..หา..เจอแหะ มีคำแปลด้วย จากดิคในเครื่อง อัมพวัน (อำพะวัน) n.อัมพวา (อำพะวา) n.(P) a grove of mangoes, an orchard, a garden แปลว่า สวน สวนมะม่วง อ้อ!!! เพิ่งนึกได้ ต้นไม้ในพุทธประวัตินี่นา เฮ้อโล่ง
คณะของเราถึงจุดหมายที่น่าจะเป็นปลายทางสุดท้ายละ เพราะนี่ก็ช่วงบ่ายชรามากแล้ว ลงรถได้ก็ตามอัธยาศัย ก็เดินเจอกันมั่งแยกกันมั่งตามความสนใจเฉพาะบุคคล ตลาดคนเยอะเหมือนเดิม นี่ขนาดไม่ใช่วันเสาร์-อาทิตย์ผู้คนยังมากมาย พ่อค้าแม่ขายคงชอบ แต่เราออกจะไม่ชอบที่ที่คนพลุกพล่านจอแจ ก็เดินไปๆ มาๆ เข้าตลาดเลี๊ยวขวาตามเคยชิน เดินๆ ไปเจอร้านติมดอกไม้ มาถึงที่แล้วก็ขอลองชิมซะหน่อย เจ้าตัวโตได้….เราได้ดอกบัว
ถามถึงรสชาดเมื่อเทียบกับราคาเราว่ายังไม่ผ่านนะ…แต่ก็แล้วแต่นิ บางคนอาจจะชอบ เทียบกับไอซ์เบิร์กบ้านเรา กระท้งกระท้อน ทุรงทุเรียน ได้รสจัดจ้านถึงรสมากกว่า อ้อ!! ฝากบอกขาติมผลไม้ ตอนนี้บ้านเรามีคู่ท้าชิงของไอซ์เบิร์กด้วย แถมมี ๒ ร้านไม่ต้องแออัดรอน๊านนนนนนนนนนนนน….นาน
รีบๆ แต่อยากติมผลไม้ หรืออื่นๆ อย่างติม Spy อะไร ประมาณนี้ ร้านนี้ก็พอได้อาศัย น่าจะเปิดทั้งวันทุกวันนะ…เออไม่ได้ถาม ร้านอยู่เกือบ ๔ แยกวัดกลาง และมีอีกสาขาอยู่ใต้หอ…อ้าวลืมชื่อ…อยู่ในซอยเฟียตน่ะ
คุยถึงตลาดอัมพวาอยู่ดีๆ ไหงกลับมานครถมซะงั้น
พากันลิ้มรสติมดอกไม้พอหมดถ้วย ๒ แม่ลูกก็พากันเดินมาถึงอีกด้านของตลาด เออแหะ ด้านนี้ไม่เคยเดินมาเลย คนไม่จอแจแต่ดูๆ ยามค่ำจะเอาเรื่องไม่เบา เพราะมองๆ เข้าไป ร้านรวงที่ยังดูเหงาเงียบตอนนี้ กลางคืนคงไม่ใช่แน่ เดินๆไปเห็นป้ายบ้านครูเอื้อ ดีใจรีบจะไปดูคิดว่าอยู่ไกล ก็ใกล้กันแต่ใสเจีย…เสียใจ บ้านปิด ท่าทางจะเปิดเฉพาะวันหยุด ว่าแล้วก็พากันเดินมั่งนั่งมั่ง ผ่านบ้านหลังหนึ่งเป็น ๒ ห้องเห็นมีงานศิลปะ วางๆโชว์อยู่ อีกด้านมีน้องๆ นั่งเรียนสานใบลาน แต่ตรงหน้าบ้านมีคุณพี่ ๒ คนนั่งตำครกอยู่ ก็ให้สงสัยว่าพี่ท่านทำไรแต่ก็ยังไม่ได้ถาม จนเดินไปสุดทางที่อยากเดินและกลับมา พี่เค้ายังตำอยู่เลย แล้วมีเรอะจะพลาด ก็อยากรู้ก็ต้องถาม ได้คำตอบว่าตำกระดาษหนังสือพิมพ์ แหะแหะ แล้วพี่ตำทำไรมิทราบ ก็ได้คำตอบคุณแม่ออสระอี…ช่างซัก…จนเป็นที่พอใจ พี่เค้าตำหนังสือพิมพ์ผสมกาวลาเท็กซ์ให้เนื้อเหนียวเนียน เพื่อเอาไปทำงานปั้นทั้งนูนต่ำ ลอยตัวได้หมด อาจารย์ที่กำลังถ่ายทอดวิชาให้ลูกศิษย์ตำเอ๊าตำเอา บอกว่าถ้าจะให้ดีเนียนๆ กว่านี้ ต้องได้ดินจอมปลวกมาผสม ก็ถามอาจารย์แล้วไปเอาที่ไหนล่ะ ชาวบ้านคงไม่มีใครกล้าขุดมาขายอาจารย์แน่ แกหัวเราะบอกใช่ ก็ต้องไปหาไปขุดเอง…แอบไปดูงานที่เสร็จแล้ว..ก็เออ…แล้วคนที่ไม่เห็น ตั้งกะตำ ๆ ๆๆๆๆ เนี่ย เค้าจะทราบซึ้งมั้ยเนี่ย กับงานแฮนด์เมดจริงๆ แบบนี้ แล้วก็อดถามอาจารย์ไมได้ว่าแล้วทำเยอะๆ ตำแบบนี้ไหวรึ ก็ได้คำตอบว่าถ้าเป็นระดับอุตสาหกรรม เหมือนที่ลูกศิษย์อาจารย์ทำทางเหนือ เขามีเครื่องมือจ้ะ
จากลาบ้านงานศิลป์ตรงนั้นมาก็หมดลาน หมดแรง ไปพร้อมๆ กันซะงั้น แล้วคณะของเราก็พากันมุ่งกลับนครถม ในขณะที่ฟ้าหึ่มๆ ไล่ตามหลังมาติดๆ ถึงประตูมหา’ลัยเอาเกือบ ๖ โมงเย็น ทริปนี้ก็จบลง เอวังด้วยประการละฉะนี้แล* หมายเหตุบทนำ
ระหว่างปลุกปล้ำจิ้มดีด ตัดๆ ต่อๆ เกลาๆ ต้นฉบับอยู่ สหายน้องเทเลโฟนมาจาก กทม.ไถ่ถามสถานการณ์แถวนี้ซึ่งเป็นปกติอยู่ดี เลยได้ โอกาสถามศัพท์แสงภาษาแต้จิ๋วเพื่อความแน่นอน สรุปได้ว่าความเข้าใจความหมายคำของเราถูกต้อง แต่ถูกบางส่วน คลาดเคลื่อนบางสิ่ง คือ ความหมายคำถูกต้องทั้งหมด แต่การคาดเดาที่มาของคำ “ตั๊กลั๊ก” ได้ ความรู้จากสหายน้องบอกว่า คำนี้ อาม่าม๊าซึ่งเกิดและเติบโตมาจากเมืองตึ่งซัว ทางตอนใต้ของจีนแผ่นดินใหญ่ใช้มาตั้งกะอยู่ที่นั่นแล้ว ก็เลยอยากกลับทางการคาดเดาว่า…ตลาด…ของเรา เพี๊ยนเสียงมาจากคำจีนแทนละกัน 55+ …แถไปได้ อิอิ…ก็เพราะเดิมสมัยหนึ่งเราเรียกตลาดว่า “ปะสาน” เพี๊ยนเสียงมาจาก Barzar ง่ายๆ ก็คือ พี่ไทยของเราเป็นพวกน้ำ อยู่ใกล้ไหนสนิทกะใคร ก็ไหลเลื่อนตามๆ เขาไป ข้อคาดเดาอันนี้เป็นความเห็นส่วนตั๊ว ส่วนตัว ที่ต้อง “ซตพ.” เพราะผู้เขียนไม่ประสงค์ให้ใช้เพื่ออ้างอิงทางวิชาการแต่อย่างใดคร้าาาาา
เฮ้อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ จบ ซะที!!