การอ่านเพื่อพัฒนาชาติ

30 December 2009
Posted by Kasinee Pensiri

pat0011 pat005
ได้ไปอบรมเรื่องนี้ที่สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-11 ธันวาคม 2552 ที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ กรุงเทพฯ ใช้เวลาในการอบรม 3 วัน ส่วนวันสุดท้ายเป็นการศึกษาดูงานตามห้องสมุดและสถานที่ต่างๆ
8 ธันวาคม 2552 หลังจากได้ลงทะเบียนแล้ว ก็เข้าไปนั่งในห้องประชุมใหญ่ เพื่อรอรับเสด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
เวลา 10.55-12.00 น. การบรรยายพิเศษเรื่อง วาระแห่งชาติ ทศวรรษแห่งการอ่าน” โดยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน    การอ่านควรเริ่มต้นที่ 1) ครอบครัว   เช่น เล่านิทานก่อนอนให้ลูกๆฟัง ซึ่งเป็นส่วนที่ทำได้เลย  หรือหลังเลิกเรียนหรือเสาร์-อาทิตย์ พาลูกไปตามร้านหนังสือ ซื้อหนังสือให้เหมาะสมกับวัยเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์  2) โรงเรียน   ส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียน เช่นการปลูกป่าชายเลน ขบวนการเรียนรู้ที่ไม่ต้องจำกัดภายในโรงเรียน หรือการสอนให้เด็กไทยเป็นหลายภาษา นอกจากภาษาอังกฤษแล้วควรจะมีภาษาอื่นด้วย เช่น ภาษจีน และื่ภาษาอื่นๆในอาเซียน  และที่จะเกี่ยวข้องกับผู้บริหารหรือบรรณารักษ์คือ การส่งเสริมการอ่าน    ทศวรรษแห่งการอ่าน คือ
1) การส่งเสริมให้คนไทยมีความสามารถในการอ่าน  บางคนมีความสามารถในการอ่านไม่เท่ากันและจับประเด็นในการอ่านได้   อ่านแล้วได้แรงบันดานใจ ได้ความรู้
2) การส่งเสริมลักษณะนิสัย รักการอ่าน การปลูกฝังการอ่านให้เหมะสมกับวัฒนธรรมไทย พ่อแม่, คุณครู, ผู้บริหาร ต้องเป็นตัวอย่าง
3) การสร้างบรรยายกาศการอ่าน ที่ใกล้ตัวคือ ห้องสมุด ที่ไม่ใช่สถานที่ราชการ บรรยายกาศ ต้องไม่เงียบมาก
เวลา 13.00-16.30 น. การอภิปราย เรื่อง ยิ่งอ่าน ยิ่งฉลาด ซึ่งผู้วิทยากร 3 ท่านคือคุณริสรวล อร่ามเจริญ (นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย), อ.กิตติรัตน์ ณ ระนอง (รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาฯ), ดร. ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล ( ภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มธ.) โดยมี ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ (รองอธิการบดี ฝ่ายศูนย์การศึกษา ม.ราชภัฎสวนดุสิต)เป็นผู้ดำเนินรายการ สรุปได้ว่า    การอ่านต้องสนใจมาตั้งแต่เด็กๆ  อ่านมากยิ่งทำให้มีความรู้มากขึ้น  แต่การอ่านไม่จำเป็นต้องอยู่กับหนังสือเท่านั้น แต่สามารถอ่านได้ทุกอย่าง  อ.ถนอมวงศ์ ได้แนะนำบทความเรื่อง กระบวนการการอ่าน ในวารสารห้องสมุด ป.53 ฉ.2 (ก.ค.-ธ.ค.2552) หน้า 27 ใครสนใจอ่านได้นะ
9 ธ.ค.2552 9.00-12.00  น. การอ่านเพื่อแก้วิกฤต : แนวคิดในการพัฒนาอาชีพ  มีวิทยากร 4 ท่าน คือ ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์  (อดีตผู้อำนวยการสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา), คุณนคร ศิลปอาชา (อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน), ดร.ประจักษ์ วัฒนานุสิทธิ์ (ประธานแผนกวิเทศสัมพันธ์สมาคมห้องสมุดฯ),คุณสุจิตร สุวภาพ (ประธานชมรมห้องสมุดเฉพาะ)   และผู้ดำเนินรายการ  ดร.ทัศนา  หาญพล   ในหัวข้อนี้มีอยู่ 3 คำ คือ สรุปว่า   วัฒนธรรมการอ่านของคนไทย  การอ่านเป็นเพียงเครื่องมือไปสู่เป้าหมายมิได้หล่อหลอมว่าการอ่านเป็นเรื่องการพัฒนาสติปัญญาหรือพัฒนาความสมบูรณ์ของชีวิต     สังคมทางตะวันตกที่สอนให้รักการจนเป็นนิสัยกลายเป็นสิ่งเสพติดตั้งแต่เกิดจนตาย  การอ่านของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของไทยเป็นแค่เครื่องมือเพื่อให้รู้และนำไปสอบผ่าน หลังจากนั้นก็จะทิ้งการอ่าน แต่สำหรับไทย ความแตกต่างในเรื่องการเรียนรู้ มีค่อนข้างสูง แม้ปัจจุบันระบบตลาดจะเข้ามามีอิทธิพล ทำให้คนต้องขวนขวายเรียนรู้ แต่อันตรายก็คือ แนวคิดในเรื่องการอ่านเป็นแต่เครื่องมือ มิใช่นิสัย  การอ่านหนังสือเป็นหน้าที่ของบรรณารักษ์ที่ต้องเป็นมัคคุเทศก์ทางปัญญา หลอกหล่อให้เด็กๆอยากอ่าน  บรรณารักษ์เป็นผู้เฝ้าอารยธรรมคือองค์ความรู้ และ ต้องพยายามเผยแพร่องค์ความรู้นั้น   ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีความรู้ซึ่งเกิดจากการอ่าน  และการอ่านต้องเป็นประตูสู่ความรู้และนำไปสู่อาชีพได้   แนวทางแก้ไข วัฒนธรรมการอ่านของคนไทย  ต้องพัฒนานิสัยการอ่านควบคู่ไปพร้อมกับระบบการกำกับทางสังคม คือกดดันให้รักการอ่านตั้งแต่เด็กโดยมีกลไกรองรับเมื่อเด็กโตขั้นเพื่อกระตุ้นให้รักการอ่านต่อไป ซึ่งทำได้โดยเชื่อมโยงระหว่างการศึกศึกษากับการฝึกอบรม ที่เน้นการอ่านเป็นองค์ประกอบและสำคัยมากในการประกอบอาชีพ
13.00-14.30 น.  การเสนอผลงานวิจัย / วิทยานิพนธืเกี่ยวกับการอ่าน และผลงานที่เกี่ยวข้อง นางสาวณัฐติกา  ขวกเขียว (ผู้นำเสนอผลงาน),นางสาวกชกร จินตาสถิตย์ (ผู้เสนอผลงาน)   ผู้ดำเนินรายการ ดร. ไพโรจน์ ชลารักษ์ (ประธานชมรมผู้สอนวิชาบรรณารักษ์ศาสตร์)
เป็นการนำผลงานวิทยานิพนธ์เรื่อง “การพัฒนารูปแบบการประเมินด้านจิตพิสัยเกี่ยวกับนิสัยรักการอ่าน ช่วงชั้นที่1-2 ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาญจนบุรี เขต 3” เป็นผลงานของ ณัฐติกา   และวิทยานิพนธ์อีกหนึ่งเรื่อง “การพัฒนาคุณธรรมด้านการเสียสละที่ได้จากการอ่าน วรรณกรรมสำหรับเด็กของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี้ 6 โรงเรียนอนุบาลบุรีรัมย์  เป็นของนางสาวกชกร  จินตนสถิตย์   ใช้ตัวอย่างงานวิจัย 2 เรื่องนี้มาให้ดู และมีการซักถามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่นเครื่องมือในการวิจัย  ฯลฯ
15.00-16.30 น. การประชุมของชมรมต่างๆในสังกัดสมาคมฯ มีการแจ้งกำหนดการเข้ากลุ่มตั้งแต่ช่วงเช้าว่าใครจะเข้ากลุ่มไหนก็ได้ตามความสนใจ มีทั้งหมด 6 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1) การอนวิชาห้องสมุดกับมาตรฐานห้องสมุดโรงเรียน, กลุ่มที่ 2) มาตรฐานห้องสมุดเฉพาะและดัชนีชี้วัด, กลุ่มที่ 3) พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550,  กลุ่มที่ 4 )ประชุมกรรมการบริหารสมาคมชมรมฯ,  กลุ่มที่ 5) การอ่านสุ่ห้องสมุเ 3 ดี,   กลุ่ม 6)  เทคนิคการสอนเพื่อพัฒนานิสัยส่งเสริมการอ่าน    ส่วนตัวเองสนใจอยุ๋กลุ่มที่ 5,6  แต่ก็ตัดสินใจเข้ากลุ่มที่ 6 เพราะเห็นว่า ห้องสมุด 3 ดีเราก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไรและถามเพื่อนๆที่เข้ากลุ่มที่ 5 ก็ไม่มีอะไรมากให้เล่าถึงห้องสมุดที่ตัวเองอยู่ ซึ่งก็เหมือนกับกลุ่มที่ 6 พูดคุยถึงปัญหาเด็กไม่อ่านหนังสือจะทำอย่างไร ซึ่งมีทั้งปัญหาและข้อเสนอแนะ
10 ธ.ค. 2552 9.00-10.30 น.การระดมความคิดเรื่อง  “การอ่านเพื่อพัฒนาชาติ” มีการแบ่งกลุ่มอีก 8 กลุ่ม  กลุ่มที่ 1) ครู อาจารย์ บรรณารักษ์ห้องสมุดโรงเรียน  2)บรรณารักษ์ห้องสมุดเฉพาะ 3)บรรณารักษ์และบุคลากรห้องสมุดประชาชน 4)บรรณารักษ์หอสมุดแห่งชาติ  5) บรรณารักษ์และนักเอกสารสนเทศนานาชาติ 6)อาจารย์และบรรณารักษ์ห้องสมุดอาชีวศึกษา 7) บรรณารักษ์สถาบันอุดมศึกษา 8) สถาบันการศึกษาวิชาบรรณารักษศาสตร์ฯ    ได้เลือกเข้ากลุ่มที่ 7   ให้ทุกคนเสนอปัญหาการอ่านหนังสือของนักศึกษา ซึ่งสรุปได้ดังนี้
ห้องสมุด    1)นักศึกษาไม่เข้าห้องสมุดหรือเข้าน้อย , 2)ผู้ใช้บริการไม่ให้ความร่วมมือในการใช้บริการห้องสมุด, 3)บรรยากาศห้องสมุดไม่มีแรงจูงใจ 4) ผู้ใช้มีเวลาน้อย สืบค้น opac ไม่เป็น ทำให้เข้าถึงเอกสารไม่ได้ 5)ห้องสมุดมีหนังสือไม่สอดคล้องกับผู้อ่าน
นักศึกษา    1) นักศึกษาสนใจเล่นเกม ใช้มือถือ  2)นักศึกษาไม่แยกแยะและไม่สามารถความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้จากอินเตอร์เนตเพียงเพื่อนำมาทำรายงานส่งผู้สอน  3) อาจารย์ไม่มอบหมายให้นักศึกษาอ่าน
และก้ได้สรุปแนวทางแก้ไขไว้ ดังนี้  1)สร้างวัฒนธรรมการอ่าน เช่นการสอนวรรณกรรมให้อ่านทั้งเล่ม  2)นำหนังสือออกมาบริการนอกห้องสมุด  3)ควรมีหนังสือที่ได้รับรางวัลให้บริการในห้องสมุด 4)ทำกิจกรรมให้ผู้ใช้มีส่วนร่วม เช่นให้รางวัลผู้ที่อ่านหนังสือมาก 5)รณรงค์และประชาสัมพันธ์ส่งเสริมด้านความสำคัญของการอ่านหรือประโยชน์ที่ได้รับจาการอ่านหนังสือ 6) จัดมุมหนังสือที่นักศึกษาอยากอ่านในห้องสมุด  7)จัดแสดงหนังสือใหม่ใน Website หรือชั้นหมุน 8)จัดหาหนังสืออเล็กทรอนิกส์ที่ตรงกับความต้องการใช้งานและลักษณะนิสัยของนักศึกษาปัจจุบัน
10.45-12.00 น. การรายงานสรุปผลการประชุมระดมความคิดของกลุ่มต่างๆ ให้ประธานชมรมของแต่ละกลุ่มนำเสนอการสรุปผลการประชุมความคิดของกลุ่มตน มาเสนอในที่ประชุมใหญ่ โดยดร. สุจิน  บุตรดีสุวรรณ เป็นวิทยากรนำ

13.00-14.45 น. รายงานผลการดำเนินงานกิจการของสมาคม พ.ศ. 2552
15.00-16.30 น. การอภิปรายเรื่อง “ทิศทางการพัฒนาการอ่านของประเทศไทยในทศวรรษหน้า”   วิทยากร  ศ. พิเศษคุณหญิงแม้นมาส ชวลิต (นายกสมาคมฯ)  ดร. อมรา  ปฐภิญโญบูรณ์ , นายนัทธี จิตสว่าง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม) และนางสาวกรองกาญจน์ ถนอมพล เป็นผู้ดำเนินรายการ     การอ่านเป็นวาระแห่งชาติ ต้องอ่านในสิ่งที่ควรอ่าน อ่านแล้วต้องคิดวิเคราะห์ และสร้างสรรค์  อีก 10 ปีคนไทยต้องเข้มแข็งในการอ่านและมีความรู้มากๆๆ
11 ธ.ค. 2552 ศึกษาดูงานตามที่ต่างๆ  สนุกด้วย
จบแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะที่ส่งไปอบรม ได้ความรู้มากค่ะ แต่หลายวัน มึนไปเลย

4 thoughts on “การอ่านเพื่อพัฒนาชาติ

  • ดีจังเลยพี่เก ทุกคนเห็นความสำคัญของการอ่านแล้ว เด็กไทยอ่านหนังสือได้แล้ว “การอ่านเพื่อพัฒนาชาติ” ขอให้เข้มแข็งทีเถอะ ชาติเราก็ได้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าลืม Post รูป พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ด้วยนะ ไม่เคยไปจ๊ะ ขอบคุณมากที่บอกเล่าให้ฟัง

  • เรื่องการอ่านเขาพูดกันมานานๆๆๆๆๆๆๆมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่ไปถึงไหนสักที อาจมีจำนวนคนที่รักการอ่านเพิ่มขึ้นบ้าง ก็เพราะพ่อแม่นำหรือพาอ่าน สำหรับโรงเรียนอาจล้มเหลวก็การเรียนการสอนเป็นแบบว่า สอนในชั้นเรียน นักเรียนก็ท่องจำ อ่านเฉพาะเล่มที่ครูสอน เวลาทั้งหมดของวันก็เรียน ไม่มีเวลาสำหรับการเข้าห้องสมุด อีกทั้ง ครูก็ไม่อ่าน (ไม่มีเวลา ต้องสอน ต้องทำงานหลายหน้าที่ ต้องๆๆๆๆ ) หากได้ครูที่อ่านๆๆๆและอ่านให้นักเรียนเห็นเป็นตัวอย่าง เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนอยากอ่านตาม แถมหนังสือที่ครูอ่าน ก็ให้นักเรียนใช้ด้วย หรืออาจแนะนำให้นักเรียนไปยืมจากห้องสมุด (ถ้าห้องสมุดมีหนังสือนะ หรือโรงเรียนมีห้องสมุดที่เอื้อต่อการอ่าน)

  • เรื่องการอ่านในโรงเรียนเด็ก ๆ จะมีสมุดประจำตัวนักเรียน ว่าได้อ่านหนังสือชื่ออะไรบ้าง เนื้อหาที่ได้จากการอ่าน เคยเห็นของหลานชายต้องคอยบอกอยู่ตลอดเวลาว่าให้อ่านหนังสือเพราะจะเป็นคะแนนช่วย คิดว่าทางโรงเรียนต้องมีกิจกรรม หรือหลักสูตรจากกระทรวง เคยเห็นยอดตอง หรือลูกๆ ของบุคคลากร อ่านหนังสือจนหมดห้องโลกของหนู จนไม่มีหนังสือเล่มใดที่รอดจากการหยิบอ่านไปได้ ต้องให้น้องไปอ่านตามชั้นทั่วไป พอดีเด็กโตพอดีที่จะอ่านหนังสือทุกอย่างได้

  • เด็กอ่านเพราะต้องอ่าน เพราะอยากอ่าน แต่ไม่มีให้อ่าน ส่วนผู้ใหญ่ไม่อ่าน เพราะไม่อยากอ่าน เพราะ…. สารพัดเหตุผล แต่มีให้อ่าน ปัญหาระดับประเทศเลยค่ะพี่ ตอนหนูอยู่ ป.4 ครูประจำชั้นชื่อนิพนธิ์ ไชยสิทธิ์ สอนไว้ว่าหากเราเป็นครูแล้วอ่านหนังสือเท่ากับเด็กในชั้นที่สอนก็ไม่ต่างกับเด็กที่เราสอน อย่างพี่สาวหนูสอนอนุบาลหนูยังแซวเลยว่า หากเจ๊อ่านหนังสือเฉพาะเด็กอนุบาลเจ๊ก็เท่ากับเด็กอนุบาล ดังนั้นจึงต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ..เรื่องที่เล่าเป็นประสบการณ์ที่ได้จากครูค่ะ แต่อาจจะโชคดีที่เกิดมาได้ครูดี…

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร