ไปศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
เมื่อวันศุกร์ดูโทรทัศน์มีการรายงานเรื่องนิทรรศการภาพถ่ายของคุณจิตต์ จงมั่นคง ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (ภาพถ่ายศิลปะ) ปี พ.ศ. 2538 ท่านได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 7 เมษายน พ.ศ.2552 นิทรรศการดังกล่าวจัดโดยทายาทรุ่นหลาน ดูข่าวแล้วน่ารักดีจึงอยากไปดู เพราะชอบภาพของท่านเป็นทุนเดิม ที่ทุกภาพยังติดตามานับสิบๆ ปี
งานนี้จัดที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร http://www.bacc.or.th/ ตั้งใจว่าจะไปวันเสาร์ แต่คืนนั้นหลังจากเฝ้าบูธแล้วกลับไปนอนเกือบตีสอง เนื่องจากไปงมๆ กับ http://gotoknow.org/portal/missitaa ถิ่นที่ตัวเองไปเขียน blog เอาไว้ ไม่ได้ไปเกือบหนึ่งปีเต็มๆ อะไรๆ จึงเป็นของใหม่ ต้องเรียนรู้ใหม่ และที่นั่นก็ทำให้เรามีเพื่อนใหม่ มุมมองใหม่ เรื่องราวๆ ใหม่ๆ นอกจากที่เดิมๆ และที่อยู่ในปัจจุบัน
เตรียมการกับลูกว่าจะไปแวะเยี่ยม “ยาย” คุณแม่ของเพื่อนที่ ร.พ.รามา แต่เวลาผู้ไม่เคยคอยใครบอกว่าไม่ทันแล้ว เสาร์นี้ให้อยู่ได้แค่ที่บูธแล้วกันก็เลยไปนั่งที่บูธจนปิด
ส่วนวันอาทิตย์จึงเริ่มต้นใหม่ ศูนย์ฯ ที่ว่า อยู่ตรงข้ามกับห้างโตคิวข้างๆมาบุญครองฝั่งสนามกีฬาฯ หน้าสถานีรถไฟฟ้า
ดังนั้นการเดินทางจึงง่ายเริ่มตั้งแต่นำรถไปจอดที่โรงเรียนวัดใหญ่ฯ เสียค่าจอดบำรุงการศึกษาไป 50 บาท หลังจากที่กระจายรายได้ให้ประชาชนอื่นไปแล้วสองคืน งานเทศกาลก็คงเป็นแบบนี้ทุกที่กระมัง
เดินไปที่บูธถามข่าวเรื่องโทรศัพท์จากน้องอ้อ สรุปว่าหายชัวร์ สรุปงานกับพี่ติ๋ว ไปซื้อข้าวหลาม ซื้อขนม ซื้อของไปฝาก ต้องเล็งว่าต้องหาที่อร่อยสุดๆๆ เนื่องจากเจ้าตัวไม่อยู่เมืองไทยมามากกว่ายี่สิบห้าปี และสัญญาตอนเย็นจะมาช่วยงาน
แล้วก็ขึ้นรถตู้ของ 83 เป็นครั้งแรกของชีวิต จึงอยากลงที่ปลายทางคือเซ็นจูรี่ ตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ แหล่งชุมนุมรถอีกที่หนึ่งของ กทม. ข้ามสะพานลอยไปอีกฝั่งเพื่อไปต้นซอยของถนนโยธี ตรงนี้สามารถนั่งรถมอร์เตอร์ไซต์รับจ้างไปปากซอยด้านหนึ่งซึ่งฝั่งตรงข้ามคือโรงพยาบาลรามาได้ ส่วนฝั่งเดียวนั้นเป็นสถานที่ราชการที่เราคุ้นๆ กันทั้งนั้น เช่น รพ.ราชวิถี คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มม. องค์กรเภสัชกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ กรมวิทย์ สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กรมทรัพยากรธรรมชาติ ฯลฯ แต่ไม่อยากเสียตังส์คนละ 10 บาท เพราะอยากให้ยอดตองรู้จักทาง และสถานที่ต่างๆ จึงแบกของเดินกันไป… ไกลทีเดียวได้ออกกำลังกาย และปัจจุบันก็ยังเมื่อยไม่หาย
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจกับเพื่อนฝูงแล้ว ก็ขอตัวไปศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร ครั้งนี้ใช้วิธีนั่งรถแท็กซี่จากโรงพยาบาลบอกเป้าหมายว่าไปไหนบอกจุดใหญ่ไปว่าไปมาบุญครอง เพราะง่ายดีใครๆ ก็รู้จัก สักพักก็ถึงราคาสี่สิบบาท เดินข้ามสะพานลอยไป ด้านในมีงานสีสันเมืองใหญ่กำลังมีการแสดงของประเทศญี่ปุ่น มีนักดนตรีเป็นสาวน้อยสองคนเล่นเครื่องดนตรีหน้าตาคล้ายจะเข้บ้านเรา ยอดตองบอกว่ากำลังเล่นเพลงในการ์ตูนอะนิเมะที่ผลิตโดยสตูดิโอจิบลิ แต่ตัวเองจำไม่ได้เพราะคุ้นกับเสี่ยงแบบคอนเสริ์ตหรือเปียโน
จากนั้นก็ไปเดินไปดูไอเดียการตกแต่งสถานที่ชอบบอร์ดจัดนิทรรศการที่เป็นโครงเหล็กธรรมดาเพราะดูโปร่งตาดี บางกิจกรรมมองแล้วคล้ายๆกับกิจกรรมที่เราจัด เลยถ่ายรูปมาฝากการออกไปแบบนี้จะทำให้เราเห็นมุมมอง สะสมเอาไว้ จะทำให้เราสามารถดึงกลับมาใช้ได้อีกทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน แต่หลายๆ คนอาจไม่มีโอกาส การนำมาเล่าให้กันอ่านและดูรูปต่างๆ จึงเป็นการแบ่งปันที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
ส่วนบูธของประเทศอื่นๆ เก็บไปเกือบหมดแล้ว จึงเข้าไปดู guidebook ที่ผลิตโดยคนญี่ปุ่นแบบแจกฟรีๆ เพราะซึ่งเคยในหนังสือแล้วมีคนแนะนำว่าหากจะซื้อหนังสือนำเที่ยวให้ซื้อหนังสือนำเที่ยวของญี่ปุ่นเพราะละเอียดและที่ดีที่สุด เคยจะไปซื้อเหมือนกันแต่ราคาแพงจึงไม่ซื้อ แต่งานนี้แจกฟรีจึงหยิบมาดูเผื่อจะได้ความคิดอะไรดีมาทำเป็นหนังสือแนะนำการใช้ห้องสมุดของเราบ้าง เพราะผู้ใช้ก็หาอะไรไม่ค่อยพบเช่นกัน
ละเอียดจริงๆ เส้นสายของถนนหนทาง คำอธิบายละเอียดยิบไม่หลงแน่นอน แต่หากนำมาเป็นรูปแบบแผ่นพับของห้องสมุดต้องคิดมากๆ ที่เดียว พี่ติ๋วรายงานหลายครั้งแล้วว่าแผ่นพับจะหมดแล้ว
แล้วก็ขึ้นไปดูนิทรรศการภาพถ่ายของคุณจิตต์ จงมั่นคง ไปซื้อหนังสือผลงานของท่านมาหนึ่งเล่มสองพันบาท พร้อมกับหนังสือเล่มเล็กๆ และเล่มจิ๋ว ที่คิดว่าคงหาซื้อไม่ได้อีกต่อไป เดินไปดูตามห้องต่างๆ มีงานศิลปะมาแสดง งานบางอย่างลึกล้ำด้วยไอเดีย และงานบางอย่างหาดูได้ยากเพราะเป็นของสะสมเช่นกบเหลาดินสอ มีทั้งอนุญาตและไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ
ยอดตองฝึกเขียนอักษรภาษาญี่ปุ่นสองคำ ถามแล้วแปลว่า เพื่อน กับ สันติ มาเป็นที่ระลึก ด้านนอกมีเวทีการแสดงของอินโดนีเซีย มีคนดูพอๆ กับเวลาห้องสมุดของเราจัดงาน
ที่งานคนไม่เยอะ และคนที่ไม่เยอะเหล่านั้นกลับเป็นคนต่างชาติ แต่อีกสองฝั่งเป็นห้างชั้นนำคนมากจนแน่นอย่างไม่น่าเชื่อ หรือพวกเขาเที่ยวที่นี่จนเบื่อแล้ว
ขากลับขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ปลายทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ราคาคนละยี่สิบห้าบาท ต้องไปเปลี่ยนรถที่สถานีสยาม แล้วเดินขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง แล้วเลือกให้ดี หมายงั้นแหละเป็นหลง
นานๆ ไปที การถามทางกับยามหรือใครๆ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ที่อายนะเราคิดไปไปเองทั้งนั้น ส่วนนิทรรศการกับหนังสือจะมาเล่าให้ฟังต่อไป