CONSAL ตอนทุลักทุเล

ผู้อำนวยการสำนักหอสมุดกลางแจ้งในที่ประชุมหัวหน้างานเมื่อปลายปี 51 เชิญชวนให้บรรณารักษ์ที่สนใจจะไปเวียดนามขอให้เสนอ paper ในการประชุม CONSAL ที่จะจัดขึ้น
CONSAL ย่อมาจากคำว่า Congress of Southeast Asian Librarians หรือ สภาบรรณารักษ์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำนักหอสมุดกลางเคยส่งทั้งผู้บริหารและบรรณารักษ์ไปเข้าร่วมประชุมเมื่อหลายปีก่อนที่สิงคโปร์ ส่วนตัวเองไปกับน้องเอ๋ด้วยการจ่ายตังส์กันไปเองด้วยเหตุผลง่ายๆ คืออยากไปก็ไปแต่ขอไปราชการเนื่องจากไปเพื่อหน่วยงาน สาเหตุก็คือช่วงก่อนหน้านั้นไปอยู่มาเลเชียเกือบเดือน พอกลับมาเลยต้องการเปรียบเทียบห้องสมุดของทั้ง 3 ประเทศ คือ ไทย มาเลเชีย และสิงคโปร์ ว่ามีแนวโน้มและทิศทางที่จะพัฒนาไปอย่างไร
ครั้งนั้นได้สัมผัสบรรยากาศการประชุมแบบแว๊บๆ ประเภทไปตามร้านค้าเพื่อไปขอของที่ระลึก เพราะไม่ได้ลงทะเบียน หลังจากนั้นเราก็ไปดูงานและดูงาน แล้วก็รับประทานและรับประทานอย่างมีความสุข เสียดายสมัยนั้นยังไม่มีกล้องดิจิตอลให้เรากดชัตเตอร์แบบไม่ยั้งอย่างสมัยนี้ แต่กลับมาเราก็เสียเงินค่าล้างรูปไปอักโข แล้วรู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่ลงทุนไปจริงๆ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน concept ของห้องสมุดมีชีวิตเริ่มบูม ตัวเองจึงใช้ประโยชน์กับการไปอยู่ที่มาเลเซียกับการไปครั้งนั้นค่อนข้างมากและหลายเรื่องก็ยังใช้ได้จนถึงปัจจุบัน เคยคุยกับน้องเอ๋ว่าจะต้องหาทางไปที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่ทางเอเชียบ้าง แต่ยังไม่มีโอกาสสักที
เนื่องจากอยากไปเมืองนอก (5555) จึงเรียนพี่แมวว่าจะขอเขียนส่ง แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะเขียนเรื่องอะไร จึงไปดูหัวข้อที่ผู้จัดเขา Call for papers ซึ่งบอกหัวเรื่องกว้างๆ คือ library services, the dynamic of libraries and information center, library education, emerging technology application, library management and marketing และ Library Association/Profession การนำเสนอผลงานใจคิดว่าเหมือนกับการเก็งข้อสอบว่าจะเขียนอย่างไรให้เขาเลือกของเรา เงือนไขคือให้เราส่งบทคัดย่อไปก่อนจำนวน 500 คำ แล้วอะไรดีล่ะก็ยังเป็นคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ คิดไปคิดมา เก็งไปเก็งมาว่าคนพิจารณาจะชอบแบบไหน จะเขียนเรื่องงานบริการก็คิดว่าบริบทของแต่ละประเทศต่างกันไม่เอาดีกว่า และคิดว่ายังไม่มีอะไรที่เฉียบคม เลยเข้าไปดูห้องสมุดประเทศอื่นๆ รอบๆ บ้านเรา ด้วยความที่ช่วงนั้นพวกเราเริ่มนำแนวคิดของ web 2.0 มาใช้ ดูๆ แล้วทางฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงเรื่องที่เรากำลังทำอยู่ ไม่เหมือนทางฝั่งอเมริกาหรือทางยุโรป จึงคุยกับไอทีแมน ซึ่งอ่านรายละเอียดได้จากเบื้องหลัง CONSAL จนเกือบถึงวันสุดท้ายของการส่งก็เขียนได้ด้วยการจับโน่นปนนี้ (แบบที่พี่แมวบอก) ด้วยการนำหลักการและเหตุผลของการสัมมนาเมื่อปีที่แล้วมาปรับ บวกกับแผนงานที่กำลังเขียน เติมด้วยงานที่เราทำ แถมด้วยทิศทางที่น่าจะเป็น จึงเป็นต้นฉบับภาษาไทยที่เรียบร้อยแต่ยังไม่ตั้งชื่อ ยกให้คุณเกียรติไปจัดการให้เป็นภาษาอังกฤษ โดยตั้งชื่อกันว่า The journey to the next generation library
ส่งไปนานมากจนลืมไปเลย… กระทั่งมีอีเมลล์แจ้งว่าบทคัดย่อของเราได้รับการพิจารณาและผ่านแล้วของให้เราเขียนบทความฉบับเต็มได้เลย จึงได้เห็นว่ามีใครบ้างจากประเทศไทยที่เข้ารอบ พบว่าส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเป็นอาจารย์และเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่เขียนร่วมกับอาจารย์ จึงดีใจลั้ลลา… พิมพ์ให้พี่แมวดูว่าเข้ารอบแล้วนะคะ
เบื้องหลังการไปไม่โหดและไม่ฮา เป็นบทเรียนของความทุกลักทุเลมากกว่า… ผู้จัดงานถามว่าจะให้เราทำจดหมายถึงใคร ก็บอกไปว่าทำจดหมายถึงผู้อำนวยการทั้ง 2 คน ได้รับคำตอบว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีขอให้แค่ทุนเดียว ต่อรองไปว่าทุนหารครึ่งได้ไหม ตอบกลับว่าไม่ได้ค่ะ จึงไปแจ้งผู้อำนวยการว่าจะให้ทำอย่างไรดีเนื่องจากเป็นคนละหน่วยงาน ผู้อำนวยการเห็นด้วยที่จะให้ทุนคุณเกียรติ เพราะเนื่องจากเป็นเรื่องราวในวงการห้องสมุด เดี๋ยวทางศูนย์คอมพิวเตอร์จะมึน ก็ตอบไปว่าให้ทุนฝั่งคุณเกียรติเพราะต้องเป็นผู้นำเสนอ แล้วบอกว่าต้องเขียนถึงผู้อำนวยการฉันด้วย กว่าจะได้จดหมายอย่างเป็นทางการก็นานทีเดียว ของคุณเกียรติมาก่อน ต่อจากนั้นอีก 1 สัปดาห์ของเราจึงตามมา
ส่วนบทความฉบับเต็มนั้นต้องนำบทคัดย่อมาขยายความ เขียนอย่างไรก็เขียนไม่ออกเพราะจะเขียนให้ต่อเนื่องถึงความเป็นมา ความเป็นไปและความเชื่อมโยงของเทคโนโลยีให้ได้ดีและเห็นภาพ เขียนได้หนึ่งบรรทัดก็ต้องเดินไปมา และเป็นช่วงเดียวกับที่ต้องเขียนสารพัดโครงการตามแผนกลยุทธ์ จำได้ว่าช่วงนั้นทำงานหนักมากอยู่ที่ห้องสมุดเกือบสี่ทุ่มเสาร์อาทิตย์ก็ต้องมาทุกวัน แต่ก็เหมือนกับทุกๆ ครั้งคือทุกอย่างจะพรั่งพรูออกมาในวันสุดท้าย ขอบคุณเจ้า googledoc ที่ทำให้เราทำงานในดร๊าฟเดียวกันและแชร์กันได้ตลอดเวลา เขียนจนเบลอส่วนคนที่ทำเป็นภาคภาษาอังกฤษก็อยู่ในอาการเดียวกัน บอกยอดตองล่วงหน้าว่าหากแม่พูดไม่รู้เรื่องและขับรถแบบมึนๆ ให้เตือนด้วย ซึ่งช่วงนั้นรู้ตัวว่าหลงๆ ลืมย้ำคิดย้ำทำ พูดซ้ำไปซ้ำมาตลอด จนตองบอกว่าว่าแม่มึนแล้วนะจนต้องเบรคตัวเองนอนพักผ่อน และเอกสารฉบับเต็มก็ส่งในในที่กำหนดตอนสี่ทุ่ม
ด้วยความที่เห็นประกาศของมหาวิทยาลัยว่ามีทุนสนับสนุนให้บุคลากรให้นำเสนอผลงานในต่างประเทศโครงการละไม่เิกินห้าหมื่นบาท จึงเขียนโครงการขอทุนไปเพราะไม่อยากรบกวนงบประมาณของหน่วยงาน กว่าจะได้เอกสา่รกว่าจะส่งอลหม่านกันทั้งสำนักงานเลขานุการ แต่ได้รับคำตอบว่ามีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ เมื่อไม่ได้รับทุนสนับสนุนความอลหม่านจึงตกเป็นของท่านผู้บริหารทั้งหลายตั้งแต่พี่แมว ผู้อำนวยการทั้ง 2 หน่วยงานว่าจะหาทางออกอย่างไรในที่สุดท่านทั้งหลายก็ช่วยกันหางบประมาณสนับสนุนให้ จึงขอขอบคุณมาณ ที่นี้
เมื่อได้คำตอบว่าทั้งสองหน่วยงานให้การสนับสนุนงบประมาณแล้ว จึงแจ้งลงทะเบียนไปเมื่อ 1 เมษายน ได้รับคำตอบว่าของ Mr. Somkiat น่ะโอเค ส่วนของ Mrs.Sompong น่ะโนเค เพราะปิดการลงทะเบียนอย่างฉับพลันไปแล้วเมื่อวาน ก็ต้องตอบกลับไปว่าไม่ได้นะคะน้องขา เพราะพี่ลำบากลำบนมากนะจ๊ะกว่าจะได้ลงทะเบียน ส่งไปขอความช่วยเหลือกับทุกคนที่เคยติดต่อ พอรุ่งเช้าทุกคนก็ตอบกลับมาว่าโอเคนะคะ คาดว่าเป็นคนสุดท้ายของการลงทะเบียน และแจ้งว่าจะโอนค่าลงทะเบียนไปให้แล้วก็ไปโอนที่แบ๊งค์ใกล้ๆ หอสมุด เสียค่าโอนไปตั้งหนึ่งพันสองร้อยบาท เจ้าหน้าที่ถามว่าปลายทางต้องได้รับเท่าไรตอบไปว่าสองร้อยUS$ ย้ำมากกว่าสองครั้ง ก็โอนกันไป แต่… อย่านึกว่าเรียบร้อย
แล้วก็กลับไปถามทางเวียดนามต่อเรื่องโรงแรมคนที่รับลงทะเบียนก็บอกว่า คนที่จัดการโรงแรมติดต่อดิฉันไม่ได้ เอ๊ะยังไง ต่อมาก็มีจดหมายแจ้งว่าโรงแรมที่ทางผู้จัดแนะนำให้มีห้องแบบนี้แบบนั้นมันเต็มแล้ว เธออาจต้องไปอยู่ที่อื่นนะ ก็บอกว่าไม่ได้ค่ะ ขอต่อรองอีกว่าฉันขอไปพักกับน้องคนหนึ่งที่เป็น speaker จะได้ไหม รุ่งขึ้นก็ตอบว่าได้แต่ต้องมีจดหมายยืนยันนะครับว่าน้องเขายินดีให้ดิฉันเป็นรูมเมท จึงทั้งเมล์และโทรไปหาน้องและรบกวนให้ช่วยส่งจดหมายไปยืนยันให้ หมดภารกิจเรื่องโรงแรมไปอีกหนึ่งเรื่อง จึงขอขอบคุณน้องแตน มา ณ ที่นี้ด้วยอีกหนึ่งคน
อีกสองวันต่อมาคนรับลงทะเบียนตอบกลับมาว่าผู้จัดได้เงินดิฉัน 190 US$ ส่วนอีกสิบดอลล์ทางธนาคารคิดค่าดำเนินการอีกครั้งเฮ้อ…อะไรกันนักหนา (พี่จุ๋ม,น้องอ้อ,น้องเอ๋พูดแทนให้) จึงสงสัยพูดจึงไปถามเจ้าหน้าที่ที่แบงค์ เจ้าหน้าที่ก็โทรไปคุยกับใครไม่รู้ แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้เราคุย แปลความว่าโปดคุยปัญหาของคุณเอาเอง เพราะทางโน้นเป็นจัดการ ก็คุยกับปลายทางซึ่งพยายามอธิบายในสิ่งที่เรารู้แล้วแต่ไม่ใช่คำตอบที่ต้องถาม ก็บอกว่าเข้าใจทุกอย่างแค่มาถามว่าปลายทางเก็บใช่ไหมแค่นั้น ส่วนเรื่องระเบียบค่าธรรมเนียมดิฉันเข้าใจและรับได้และก็วางหู เจ้าหน้าที่ทางนี้บอกว่าเป็นแบบนี้แหละครับ แล้วเ่อ่ยชื่อประเทศโน้น นี้ ถามเขาว่าเป็นเฉพาะแต่ละธนาคารใช่หรือไม่ บอกว่าไม่ใช่เป็นทุกธนาคารที่อยู่ในประเทศที่เอ่ยๆ มา ก็บอกว่าแล้วคุณมีข้อมูลหรือปล่าว ตอบผมไม่รู้ ก็บอกว่าคุณแปลกนะที่ไม่รู้ ซึ่งคุณควรจะรู้และยิ่งคุณทำงานในสาขาที่อยู่ในมหาวิทยาลัยด้วยก็ยิ่งควรรู้ (เพราะก็ยังบอกเราได้เมื่อกี้) แต่พี่ไม่รู้ซิไม่แปลก… แล้วก็กลับออกมาเขียนเมลล์ไปบอกว่าอีกสิบเหรียญจะขอจ่ายเป็นเงินสด
ครานี้ถึงเรื่องตั๋วเครื่องบิน ทีแรกว่าจะไปกับสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย แต่เนื่องจากเราทั้งสองคนไปโดยมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน รู้สึกว่าทัวร์เขาจะวุ่นวายมากและคนที่ไปกับทริปนั้นก็ไปยาวก็เลยอย่าไปกับเขาเลยดีกว่า จึงไปจองตั่ว หนูใหญ่บอกว่าต้องไปการบินไทยนะคะ เราบอกว่าแพง แต่ก็เข้าใจได้ว่าเงินทองของไทยไม่ควรรั่วไหล ก็ไปซื้อตั๋วกับหนูเอ๋ ที่เอเย่นต์network ก็ช้า นานมากกกก… กว่าจะได้ตั๋ว จนต้องคุยกันตัวแทนจำหน่ายถึงทัวร์ไปโน่นมานี่ ราคาตั๋วช่วงไหนถูกฝากจองให้ด้วย… ได้ข้อมูลมาเพียบจะได้พาพี่ๆ น้องๆ ไปเที่ยวกันเองสบายกว่ากันเยอะ แต่ประสาพวกเราเที่ยวก็คืองาน เพราะเห็นไปเที่ยวที่ไหนก็จะมาเล่าให้ฟังว่าเราน่าจะทำแบบนั้นแบบโน้น อันนี้ตัวเองถือเป็น commitment แบบไม่เป็นทางการกับหน่วยงาน (คืออะไร ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟัง)
หมดจากเรื่องตั๋วก็เรื่องจองรถไปสุวรรณภูมิ พี่บุญตาติดต่อรถมหาวิทยาลัยให้แล้ว กะว่าวันศุกร์จะมาเขียนขอรถก็กลายเป็นวันหยุดฉับพลัน ต่อด้วยสงกรานต์ แล้วก็หยุดต่อเนื่อง พี่ที่ดูแลเรื่องรถก็ไปทัศนาจรต่างจังหวัด จึงโทรไปหาพี่พละ ผู้อำนวยการกองบริการอาคารฯ บอกว่าเขียนใบขอรถแล้วฝากไว้ที่ศูนย์ยามจะไปจัดการให้ ส่วน พขร. โอเคไม่มีปัญหาของให้หน่วยงานรับทราบผมขับให้
ทุกอย่างเล่าพอสั้นๆ ความจริงเรื่องราวมันยาวมากมายกว่านี้ พี่ๆ น้องๆ บอกว่า ก่อนไปเรื่องยังเยอะขนาดนี้ ไปจริงๆ ไม่รู้จะขนาดไหน จึงบอกว่าจะเขียนเล่าเป็นตอนๆ ให้ฟัง แล้วบอกกับน้องๆ ว่าประสบการณ์ของพี่มีแล้ว พอถึงรุ่นต่อไปคงจะสบายและราบรื่นกว่านี้ มองโลกอย่างเข้าใจถึงข้อจำกัดของแต่คนทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเวียดนามก็สนุกไปอีกแบบ แต่ละเรื่องเข้ามาเล่าไปขำไปตลอดเวลา
การพัฒนาบุคลากรเพื่อให้เป็นฐานสำหรับให้หน่วยงานมุ่งไปสู่คุณภาพและมาตรฐานที่เป็นระดับสากล (ตามวิสัยทัศน์ล่าสุด) เป็นเรื่องที่พวกเราคงต้องใช้ความอดทนและความเพียรพยายามอย่างอักโขทีเดียวจริง ๆ



4 thoughts on “CONSAL ตอนทุลักทุเล

  • เพราะไม่ให้เราไปด้วย ไม่ชวนเราไป…ถึงเป็นแบบนี้… :)….หุหุ

  • ครั้งหน้าอีกสามปีโปรดเตรียมตัวไปอินโดนีเซีย

  • ครั้งหน้าคงไม่ลำบากอย่างนี้ เอ! หรือไม่จริง????

  • การไปนำเสนองานต่างประเทศ ป้าแมวว่าเป็นเครดิตของมหาวิทยาลัยด้วย เพราะ มาจาก Silpakorn university thailand ตะโกนดังๆเหมือนนางงามไง เพราะฉะนั้นป้าจะต้องดำเนินการให้มหาวิทยาลัยสนับสนุนสายสนับสนุนและสายปฏิบัติการด้วย ไม่ใช่สนับสนุนเฉพาะสายวิชาการเท่านั้น
    ที่ป้าภูมิใจ และเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่า ก็เพราะหนูและสมเกียรติ เป็นสายสนับสนุนวิชาการ เพียงแห่งเดียวที่ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับทุน นอกนั้น อีก ๔ แห่งเป็นสายวิชาการ กคงเป็นเพราะความคิดนอกกรอบและใฝ่รู้ใฝ่ศึกษาของหนู ตลอดจนการลุยงาน หนักๆๆๆๆ ตายเป็นตายคาคอมฯ คาโต๊ะ พอกันกับน้องสมเกียรติ ป้าแมวยอมพวกหนูแล้วนะ อายุเท่าหนูป้าโม้ได้เลยว่า ต้องแข่งคาโต๊ะ แต่อาจไม่คาคอมฯเหมือนหนู อย่าลืมเรื่องข้างต้นกับมหาวิทยาลัยนะ

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร