ก้าวย่างที่เติบโต@หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ (2)
ตำแหน่งบรรณารักษ์
ตั้งแต่ดิฉันเรียนจบปริญญาตรี บรรณารักษศาสตร์ เมื่อเดือน มี.ค. 2533 ภายในปีนั้นหอสมุดฯ ได้เปิดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุข้าราชการตำแหน่งบรรณารักษ์ ดิฉันก็สมัครสอบแข่งขันกับคนอื่น ๆ ด้วย โดยไม่ได้อ่านหนังสือเตรียมตัวสอบอย่างจริงจังอะไร ผลก็คือสอบไม่ได้
พ.ศ. 2535 หอสมุดฯ มีการเปิดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุข้าราชการตำแหน่งบรรณารักษ์ ดิฉันก็สมัครสอบแข่งขันกับคนอื่น ๆ ใหม่ โดยคราวนี้เตรียมตัวสอบมากขึ้น พร้อมกับศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ด้วย เพราะหอสมุดฯ เริ่มนำคอมพิวเตอร์มาใช้กับงานห้องสมุดบ้างแล้ว ผลปรากฏว่า ดิฉันเป็น 1 ใน 6 คนที่สอบผ่านข้อเขียนได้เข้าไปสอบสัมภาษณ์ แต่สุดท้ายดิฉันก็ “สอบตก” ไม่มีชื่อขึ้นบัญชีสำรองไว้เสียด้วยซ้ำ โดยมีผู้สอบผ่าน 4 คน มีผู้สอบตกเป็นเพื่อนพร้อมดิฉันด้วยรวม 2 คน ความรู้สึกตอนนั้นคือช้ำใจและอายบุคลากรในหอสมุดฯ มาก
ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2537 หอสมุดฯ ได้เปิดสอบแข่งขันเพื่อบรรจุข้าราชการตำแหน่งบรรณารักษ์อีก คราวนี้ดิฉันตั้งใจแน่วแน่ไม่คิดจะสมัครสอบอีกแล้ว เพราะคิดว่าความรู้ความสามารถเราคงไม่เหมาะกับการเป็นบรรณารักษ์ที่นี่ ขออยู่เป็นพนักงานห้องสมุดไปเรื่อย ๆ ดีกว่าเพราะไม่อยากย้ายไปที่อื่น แม้จะเคยมีคนชมว่าดิฉันทำงานเก่งกว่าบรรณารักษ์บางคนในขณะปฏิบัติงานที่หน่วยวารสาร ทำหน้าที่ขออนุมัติบอกรับวารสารภาษาไทยแทนพี่แมวกาญจนา สุคนธมณี ซึ่งได้ถ่ายทอดสอนงานไว้ให้อย่างละเอียดก่อนที่พี่แมวจะถูกเปลี่ยนไปทำงานที่หน่วยเทคนิค
เมื่อพี่แมวรู้ข่าวว่าดิฉันไม่สมัครสอบครั้งนี้ ก็ถามว่าทำไมไม่สมัครสอบ ดิฉันบอกว่าอายคนห้องสมุดเพราะสอบมาตั้ง 2 ครั้งแล้ว ถ้าสอบไม่ได้เป็นครั้งที่ 3 จิตใจจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ พี่แมวพูดว่า “มวยไม่ทันขึ้นชก นายก็ยกมือยอมแพ้ซะแล้ว” แล้วก็สอนก็บ่นโน่นนี่นั่นโน้มน้าวให้ใจสู้ ถ้าไม่สอบคือไม่ได้แน่นอน สอบอาจจะได้ก็ได้ ให้ลองดู สุดท้ายก็ต้องยอมไปสมัครสอบ (ขณะนั้นพี่แมวเป็นบรรณารักษ์งานบริการตอบคำถามช่วยการค้นคว้า ยังไม่ได้เป็นหัวหน้าหอสมุดฯ)
ผลสอบคราวนี้ ดิฉันสอบได้ขึ้นบัญชีไว้เป็นลำดับที่ 3 ซึ่งหอสมุดฯ เรียกตัวมาทำงาน 2 คน คนที่ 1 คือ น้องอ๊อดเทอดศักดิ์ ไม้เท้าทอง และคนที่ 2 คือน้องก้อภาณุวัฒน์
ต่อมาปี พ.ศ. 2540 น้องอ๊อดลาออกเพื่อไปเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปัจจุบันจบดอกเตอร์แล้ว ตำแหน่งบรรณารักษ์ก็ว่างลง ท่านผู้อำนวยการในขณะนั้น (รศ.สัญชัย สุวังบุตร) ได้เรียกดิฉันไปพบและบอกว่าจะให้โอกาสได้ทำงานเป็นตำแหน่งบรรณารักษ์ ดิฉันจึงได้ปรับเปลี่ยนตำแหน่งเป็นบรรณารักษ์ตั้งแต่บัดนั้น และตำแหน่งพนักงานห้องสมุดที่ว่างลงก็เปิดสอบใหม่ได้คนที่มาแทนคือคุณวาสนา พุ่มประทุม
ปี พ.ศ. 2545 เมื่อทำงานในตำแหน่งบรรณารักษ์ ก็ต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้สามารถทำหน้าที่บรรณารักษ์ได้ สิ่งหนึ่งคือการเรียนปริญญาโท แขนงวิชาสารสนเทศศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งกว่าจะตัดสินใจเรียนได้ก็คิดกลับไปกลับมาอยู่นั่นแล้ว ต้องสอบภาษาอังกฤษและนำคะแนนแนบใบสมัครสอบด้วย ครั้งแรกตัดสินใจไม่เรียนจนหมดเวลารายงานตัว ปรากฏว่าฝันเห็นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ในฝันบอกท่านว่าลูกไม่มีวาสนาจะได้เรียนแล้วเพราะหมดเวลารายงานตัว วันรุ่งขึ้นไปทำงานก็ได้รับจดหมายจาก มสธ.ว่าขยายเวลาการรายงานตัวออกไปอีก และสามารถไปรายงานตัววันที่ปฐมนิเทศได้ คราวนี้คิดอีกเรียน/ไม่เรียน จนกระทั่งถึงวันปฐมนิเทศก็เตรียมเงินไปเช้าวันนั้นพร้อมเสื้อผ้าที่ต้องไปค้าง ใจก็คิดว่าถ้าไม่ดีก็ไม่เอา พอดีมีศิษย์เก่า มศก.เข้ามาทักทายพี่บูรณ์ ดิฉันจึงตัดสินใจแน่วแน่เรียนก็เรียน และได้เพื่อนคนนี้ที่ให้ความช่วยเหลือเรื่องการเดินทางไปกลับด้วยกันจนถึงวันรับปริญญา (เพื่อนทำงานองค์การโทรศัพท์ จ.กาญจนบุรี สามีเขาจะขับรถมาแวะรับและส่งที่หน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร ยังคิดถึงบุญคุณเขาทั้งสองเสมอ)
ลำดับการทำงานตำแหน่งบรรณารักษ์
พ.ศ. 2540 (ก.ค.) – 2548 (ส.ค.)
หัวหน้างานบริการสารนิเทศ มีภาระงานได้แก่ บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้า บริการการใช้ฐานข้อมูล บริการยืมระหว่างห้องสมุด แนะนำการใช้ห้องสมุด บริการเลข ISBN บริการข่าวสารทันสมัย การตรวจคัดเลือกข่าวจากหนังสือพิมพ์ ให้หัวเรื่องกฤตภาค และอื่น ๆ
พ.ศ. 2548 (ส.ค.) – 2555 (มิ.ย.)
หัวหน้างานบริการวารสารและหนังสือพิมพ์ มีภาระงานได้แก่ ให้บริการวารสารและหนังสือพิมพ์ บริการตอบคำถามและช่วยการค้นคว้าเกี่ยวกับงานวารสารและหนังสือพิมพ์ ให้หัวเรื่องดรรชนีวารสาร จุลสาร และอื่น ๆ
พ.ศ. 2555 (ก.ค.) – 2562 (ก.ย.)
หัวหน้าฝ่ายบริการ ดิฉันเคยคิดจะลาออกตั้งแต่รู้ว่าต้องมาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริการ คิดจนนอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นกลางดึกบ่อย ๆ คิดแต่จะลาออกอย่างเดียว และมาคิดเปรียบเทียบกับคนที่รู้จักว่าเขาอยากเป็นผู้บริหาร สอบตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนไม่ได้ ตรมตรอมจนถ่ายท้องไปค่อนเดือน ส่วนดิฉันตรมตรอมถ่ายท้องเพราะจะต้องมาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริการและคิดจะลาออกจากงานราชการด้วย มันใช่หรือ ใครรู้เข้าคงหัวเราะเยาะ จึงตั้งหลักทำใจให้สู้ เอาก็เอา มีพี่แมวเป็นหัวหน้าหอสมุดฯ อยู่จะกลัวอะไร
ฝ่ายบริการมีงานในกำกับดูแล 4 งาน คือ งานบริการยืม-คืน งานบริการสารนิเทศ งานบริการวารสารและหนังสือพิมพ์ และงานศูนย์ข้อมูลภาคตะวันตก มีบุคลากรในสังกัดขณะนั้นจำนวน 21 ราย โดยมีการบริหารจัดการดูแลส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการทั้ง 2 อาคาร คืออาคารหอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ชั้น 1-4 และอาคารหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ชั้น 1-3 (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 งานศูนย์ข้อมูลภาคตะวันตกได้ย้ายไปสังกัดฝ่ายโสตทัศนศึกษา)
ปัจจุบัน (พ.ศ. 2562) ฝ่ายบริการมีบุคลากรในสังกัด 13 ราย
พ.ศ. 2557 (1 ต.ค.) – 2558 ( 22 ก.ค.) งานที่สร้างความหนักใจให้อีกหน้าที่หนึ่งคือ รักษาการหัวหน้าหอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ หน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริการว่ายากแล้ว ยังต้องมาทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าหอสมุดพระราชวังสนามจันทร์อีกประมาณ 10 เดือน เมื่อหัวหน้าหอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ (นางกาญจนา สุคนธมณี) บรรณารักษ์เชี่ยวชาญพิเศษ เกษียณอายุราชการ ดิฉันได้รับมอบหมายจากสำนักหอสมุดกลางให้ทำหน้าที่รักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหอสมุดฯ ขณะเดียวกันก็ยังคงทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริการควบคู่กันไป การทำงานระหว่างนี้เมื่อมีปัญหาติดขัดได้ขอคำปรึกษาจาก 2 ท่านคือ 1) นางกาญจนา สุคนธมณี ซึ่งเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารงานห้องสมุดให้เจริญก้าวหน้ามาอย่างดียิ่ง และ 2) ท่านผู้อำนวยการสำนักหอสมุดกลาง (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศักดิพันธ์ ตันวิมลรัตน์) ทั้ง 2 ท่านมีความเมตตาและกรุณาให้คำปรึกษาแนะนำช่วยเหลือทุกอย่างจนทำให้การทำงานในช่วงนี้สำเร็จลุล่วงผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่น
***เมื่อครั้งที่สำนักหอสมุดกลางจัดไปสัมมนาที่นครนายกและแวะไหว้พระพิฆเนศองค์ใหญ่ ใกล้วัดหลวงพ่อปากแดง ดิฉันเห็นพราหมณ์ท่านหนึ่งนุ่งขาวห่มขาวมีคนเข้าแถวยาวเข้าไปให้ท่านแตะตา แตะหู แตะหน้าผาก เสร็จแล้วก็เดินออกไปก็คิดว่าจะได้เรื่องหรือ แต่มาแล้วเอาก็เอา เดินเข้าไปพอท่านแตะหน้าผากเท่านั้นละ จากที่ไม่เคยทักใครท่านก็ทัก “อืม แบกมาเยอะนะ” เราก็ตกใจเกรงจะเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ท่านก็พูดต่อว่า “เรื่องงาน” ไม่ต้องเครียดนะ ไม่ต้องกังวล ถึงเวลาจะมีคนคอยช่วยเหลือและผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงทุกครั้ง (เป็นช่วงที่ต้องรับหน้าที่รักษาการหัวหน้าฝ่ายบริการแทนพี่หน่อยยุพดี ที่เกษียณออกไป )