การประเมินความน่าเชื่อถือของสารสนเทศที่นำมาใช้งาน
บ่อยครั้งที่นักศึกษามาปรึกษาเรื่่องการเขียนบรรณานุกรม และพบว่าปัญหาหนึ่งที่นักศึกษาพบคือไม่รู้ว่าจะเขียนบรรณานุกรมจากข้อมูลที่ได้จากอินเตอร์เน็ตอย่างไร และบ่อยครั้งก็จะพบว่าข้อมูลที่นักศึกษานำมาใช้ในการเขียนรายงานนั้น ได้มาจากการค้นผ่าน Google ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่ดีแต่อย่างใด ถ้านักศึกษาจะได้เลือกใช้เสียหน่อย นักศึกษาอาจอ่านดูข้อมูลที่เห็นอยู่เพียง 2-3 หน้าแรกของ Google ซึ่งไม่ได้มีข้อยืนยันว่า ข้อมูลที่พบในหน้าแรก ๆ จะเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือเสมอไป
ตามปกติเราก็มีแนวทางการอธิบายให้นักศึกษาทราบถึงวิธีการเบื้องต้นที่เราใช้ในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่พบจากอินเตอร์เน็ต เช่น เป็นเว็บไซต์ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ เป็นเว็บไซต์ที่มีการ update ข้อมูลเสมอ เป็นเว็บไซต์ที่มีการแสดงความรับผิดชอบ เป็นต้น เมื่อไม่กี่วันนี้ ได้อ่านหนังสือของ อาจารย์พรชนิตว์ ลีนาราช จากภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เรื่อง เอกสารประกอบการสอนรายวิชา 009345 การปรับแต่งสารสนเทศ (Information Repackaging) มีตอนหนึ่งกล่าวถึงเรื่อง การประเมินความน่าเชื่อถือของสารสนเทศที่นำมาใช้งาน ซึ่งอาจารย์ได้มีการสรุปไว้อย่างละเอียด เข้าใจง่าย จึงขอนำมาเล่าต่อให้เพื่อน ๆ น้อง ๆ บรรณารักษ์ ได้ทราบด้วย อาจารย์แบ่งการพิจารณาคุณค่า ความถูกต้อง สมบูรณ์และความน่าเชื่อถือของสารสนเทศ ไว้เป็น 2 ประเภท คือ 1. การประเมินค่าสารสนเทศทางกายภาพ และ 2. การประเมินค่าสารสนเทศภายใน โดยแยกประเภทของสารสนเทศเป็น หนังสือ บทความวารสาร และอินเตอร์เน็ต ดิฉันจะขอยกมาเฉพาะการประเมินค่าสารสนเทศทางกายภาพของสารสนเทศบนอินเตอร์เน็ต กล่าวคือ การประเมินสารสนเทศบนอินเตอร์เน็ต จะต้องตรวจสอบใน 5 ประเด็น ต่อไปนี้
1. ความน่าเชื่อถือของผู้จัดทำ ตรวจสอบได้จากการมีสถาบันน่าเชื่อถือรองรับในการจัดทำ ความเป็นกลางของสถาบันที่จัดทำ สถาบันนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาสารสนเทศที่ปรากฎหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้จัดเอกสารมีความน่าเชื่อถือโดยดูจากคุณวุฒิ และประสบการณ์ในการจัดทำเอกสาร รวมถึงการมีตัวตน โดยแจ้ง Email address หรือช่องทางการสื่อสารเพื่อผู้อ่านสามารถสื่อสารกลับ หากเป็นเว็บไซต์ที่มีโดเมนเนมเป็นสถาบันการศึกษาหรือองค์การ เช่น .edu .ac หรือ .org จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าโดเมนเนมเอกชน หรือเพื่อการค้า เช่น .com หรือ .co
2.วัตถุประสงค์ในการจัดทำ อาจตรวจสอบได้จากเมนู About us หรือประวัติ (History) เพื่อดูว่าการเผยแพร่สารสนเทศนั้นมีเป้าหมายอะไร หากพบว่าเพือ่การโฆษณา ผู้อ่านอาจไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นกลาง นอกจากนี้ยังต้องดูว่าส่วนใดเป็นความเห็นส่วนบุคคล ส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง
3.เนื้อหามีความถูกต้องน่่าเชื่อถือ ตรวจสอบจากรายการเอกสารอ้างอิง
4.ความคงที่ของวารสาร เอกสารบนเว็บไซต์บางประเภทเมื่อกลับไปดูอีกครั้ง อาจพบว่าถูกลบออกไปแล้ว หรือมีการแก้ไขข้อมูลต่าง ๆ การใช้สารสนเทศบนอินเตอร์เน็ตที่ผู้รับผิดชอบเป็นหน่วยงาน ทำให้ลดปัญหาความคงที่ของเอกสารได้ เพราะจะมีผู้รับผิดชอบชัดเจน
5.ความทันสมัย ตรวจสอบจากวัน เดือน ปี ที่เผยแพร่ และการแจ้งการปรับปรุงเนื้อหา
ในส่วนของการประเมินค่าสารสนเทศภายใน จะพิจารณาจาก
1.มีเนื้อหาสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เลือก
2. มีความสอดคล้องของเนื้อหาตามหัวข้อที่โครงร่างกำหนด
3. เนื้อหามีความละเอียด ลึก และเพียงพอที่จะนำมาใช้ได้
อ้างอิง : พรชนิตว์ ลีนาราช. (2558). การปรับแต่งสารสนเทศ : เอกสารประกอบการสอน รายวิชา 009345. เชียงใหม่ : สาขาวิชาสารสนเทศศึกษา ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.