เมื่อประเทศกำลังจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ
การเปลี่ยนโครงสร้างประชากรเป็นโจทย์สำคัญของประเทศในขณะนี้ เมื่อจำนวนประชากรมีแนวโน้มลดลง การเกิดที่น้อยลง ประชากรมีอายุยืนมากขึ้น กำลังแรงงานมีแนวโน้มหดตัว โครงสร้างครอบครัวเปลี่ยนแปลง สาเหตุเหล่านี้ ที่ทำให้เกิดผลกระทบในด้านต่างๆ ตามมา
1. แนวโน้มโครงสร้างประชากรไทยในอนาคต ในช่วงเวลา 40 ปี
– หญิงไทยมีลูกน้อยลง
– ผู้หญิง 1 คน มีบุตรลดลงจากเฉลี่ยมากกว่า 5 คนเหลือเพียง 1.53 คน ในปัจจุบัน
– อัตราการเกิดจาก 40 คน ต่อประชากร 1,000 คน ลดลงเหลือพียง 12 คน ในปี 2556
– อายุของคนไทยยืนยาวขึ้นจากเฉลี่ยตั้งแต่แรกเกิดมาถึง 60 ปี เป็นอายุยืนถึง 74 ปี
**ประเทศไทยกำลังจะมีประชากรมากที่สุดในประวัติศาสตร์และประชากรจะเริ่มลดลงใน 10 ปีข้างหน้า
2. การเกิดที่ลดลง จากการเกิดที่ลดลงทำให้จำนวนบุตรเฉลี่ยต่อผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์หรือที่เรียกว่า อัตราการเจริญพันธุ์รวมของประชากรไทยลดลง จาก 3.06 คนในปี 2523 เหลือเพียง 1.53 ในปี 2553 เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน
3. การลดลงของประชากรวัยเด็ก ปี 2523 จำนวนประชากรวัยเด็กช่วงอายุ 0 -14 ปี มีมากที่สุดถึง 18 ล้านคน และลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึง ปี 2558 จำนวนประชากรวัยเด็กลดลงอีกเหลือ 1 ใน 3 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2523 มีจำนวนประชากรวัยเด็กเพียง 12 ล้านคน และจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือจำนวน 2 ใน 3 เมื่อเทียบกับปี 2523 คือมีจำนวนประชากรวัยเด็กเพียง 6 ล้านคนในปี 2643
4. การเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ จากประชากรสูงวัยกำลังจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปี 2557 จำนวนประชากรผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 65 ปี) มีจำนวน 6 ล้านคน และในอีก 50 ปีข้างหน้าคือปี 2598 จะเพิ่มเป็น 19 ล้านคนเป็นที่ทราบกันดีว่า การสูงวัยของประชากรเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกทุกวันนี้ และกำลังมีอายุสูงขึ้น
– ประชากรเกือบทุกประเทศในโลกกำลังมีอายุสูงขึ้น
– อัตราการเกิดของประเทศต่างๆ ได้ลดต่ำลง
– ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น
– ประเทศพัฒนาแล้วจะมีสัดส่วนประชากรสูงอายุสูงถึงร้อยละ 23
– ประเทศกำลังพัฒนามีประชากรสูงอายุอยู่ที่ร้อยละ 9
– ประเทศด้อยพัฒนาจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุร้อยละ 5 เท่านั้น
5. กำลังแรงงาน การลดลงอย่างต่อเนื่องของอัตราภาวะเจริญพันธุ์ส่งผลต่อเนื่องทำให้ประชากรวัยทำงานลดลงเช่นกัน จากการคาดประมาณประชากร พ.ศ. 2553-2583 โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประชากรรุ่นที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน อีกประมาณไม่ถึง 5 ปี หรือประมาณปี 2563 รุ่นอายุ 15-19 ปีและรุ่นอายุ 20-24 ปี น้อยกว่าจำนวนประชากรวัยทำงานที่กำลังจะออกจากตลาดแรงงาน คือ รุ่นอายุ 50-54 ปี และรุ่นอายุ 55-59 ปี)
กำลังแรงงานในตลาดแรงงานมีโอกาสที่จะหดตัวอย่างมากในอนาคต ซึ่งส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ลดลง และส่งผลกระทบต่อการลงทุนของประเทศและมาตรฐานการดำรงชีวิตของประชากร ซึ่งทำให้เป็นข้อจำกัดต่อการพัฒนาประเทศได้ที่อาจจะต้องมีนโยบายการนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่มีความรู้และทักษะเข้ามา รวมทั้งเทคโนโลยีมากขึ้น
การที่ประชากรวัยแรงงานมีแนวโน้มลดลง ส่งผลต่อทำให้ตลาดแรงงานน้อยลง กำลังแรงงานต้องรับภาระเลี้ยงดูเด็กและผู้สูงอายุมากขึ้น สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้เพิ่มขึ้น
ผลกระทบเมื่อสังคมสูงวัย
ผลกระทบเมื่อมีการเกิดน้อยลงและประชากรมีอายุยืนยาวขึ้น นำไปสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็วนั้นทำให้เกิดผลกระทบในหลายๆ ด้านตามมา เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคมและสวัสดิการ ด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ สาธารณสุข และด้านกำลังแรงงาน
เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่าน คนวัยทำงานมีอำนาจการจับจ่ายใช้สอยได้มาก เนื่องจากมีกำลังแรงงานที่สร้างรายได้จำนวนมาก การเข้าสู่การเป็นเศรษฐกิจที่ชราจากการที่มีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลาดแรงงานกำลังปรับเปลี่ยนเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวนมากขึ้นได้ทำงานทั้งการทำงานในระบบ และการทำงานนอกระบบ
การทำงานในระบบ ผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 9.2 ที่ทำงานในระบบ มีความมั่นคงทางรายได้และสวัสดิการ
การทำงานนอกระบบ ผู้สูงอายุร้อยละ 90.8 ทำงานนอกระบบ เช่น เกษตรกรรม ประมง งานขาย และงานฝีมือต่างๆ ประสบกับปัญหาจากการทำงาน เช่น ค่าตอบแทน การจ้างไม่ต่อเนื่อง และไม่มีสวัสดิการ
สวัสดิการสังคมของผู้สูงอายุ
– แบบประจำในรูปของเบี้ยยังชีพรายเดือนแบบขั้นบันได
– การรักษาพยาบาล (ผ่านโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการเกษียณอายุ)
– ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ(ผ่านกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ)
– สถานสงเคราะห์ผู้สูงอายุ (ผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
รายจ่ายสวัสดิการผู้สูงอายุในปัจจุบัน
– รายจ่ายบำนาญประเภทต่างๆ
– ค่าใช้จ่ายในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ และสถานสงเคราะห์คนชรา
– เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินสงเคราะห์จัดการศพ
– กิจกรรมการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้รับการคุ้มครองและการส่งเสริมการใช้ศักยภาพทางสังคม
– กองทุนผู้สูงอายุ
เสาหลักของเงินได้ในยามเกษียณ เสาหลัก 4 เสาในการออมของผู้สูงอายุ
– เสาหลักที่1 สวัสดิการจากภาครัฐ (government welfare) เช่น เงินบำเหน็จบำนาญ เบี้ยยังชีพ
– เสาหลักที่ 2 ประกันสังคม (social security) จากรัฐ+นายจ้าง+ลูกจ้าง
– เสาหลักที่ 3 การออมภาคบังคับ (compulsory saving) จาก นายจ้าง+ลูกจ้าง เช่น กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
– เสาหลักที่ 4 การออมโดยสมัครใจ (voluntary saving) โดยประชาชน เช่น RMF, LTF, ประกันชีวิต และกองทุนต่างๆ
การสำรวจผู้สูงอายุเมื่อปี 2554 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ อัตราการออมของผู้สูงอายุในประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำมาก ผู้สูงอายุถึง 2 ใน 3 ไม่มีเงินออมเลย และผู้สูงอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไปไม่มีเงินออมเลยถึงร้อยละ 74
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก และมีอายุยืนยาวจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตของประเทศหากทุกฝ่ายต้องปฏิบัติดังนี้
- ทุกฝ่ายในสังคมตระหนักในคุณค่าของผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุเหล่านั้นสามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้วยการมีสุขภาพที่แข็งแรง มีรายได้ และเงินออมที่เพียงพอสำหรับการดำรงชีพ
- การสร้างหลักประกันรายได้ยามชราภาพของประชากรวัยทำงานนับได้ว่าจะมีบทบาทสำคัญมาก ทั้งนี้ในอนาคตการพึ่งพารายได้จากบุตรจะลดบทบาทลง บทบาทของ “ บำนาญภาครัฐ” จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย
แหล่งอ้างอิง : วิชาการสร้างวิสัยทัศน์เพื่อตอบสนองสังคมสูงวัย (จากการอบรมหลักสูตรออนไลน์ ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน)