ยิ่งหา ยิ่งหาย

ยิ่งหา ยิ่งหาย เป็นชื่อหนังสือ ที่แปลมาจาก เรื่อง The Filter Bubble ที่เขียนโดย Eli Pariser  ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวที่มีอิทธิพลในวงการอินเตอร์เน็ต  หนังสือเล่มนี้จะเปิดเผยเรื่องราวที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังยักษ์ใหญ่ในวงการอินเตอร์เน็ต ซึ่งใช้เทคโนโลยีการกรองข้อมูลในการสร้าง ความเฉพาะตัวให้กับแต่ละบุคคล (Customizaion) ว่าจะส่งผลอย่างไรบ้างกับชีวิตเรา  โดยตั้งคำถามให้ผู้อ่านสนใจอ่านต่อว่า ทำไมผลการค้นหาคำคำเดียวกันใน Google ของคนสองคนถึงไม่เหมือนกัน 100%  …เพราะอินเตอร์เน็ตคิดว่าเราเป็นคนยังไง เราทุกคนจึงอาจถูกหล่อหลอมผ่านข้อมูลต่าง ๆ ให้มีลักษณะที่เหมือน ๆ กันโดยไม่รู้ตัว…ทำไมเราถึงไม่เคยเห็นความคิดเห็นของเพื่อนบางคน หรือคนบางกลุ่มผ่านช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์คใด ๆ เลย…เรื่องบางเรื่องที่เราไม่ชอบ แต่ควรรู้ อาจหายไปจากชีวิตเราตลอดกาล เพียงเพราะเราไม่เคยกดไลค์ให้กับเรื่องราวเหล่านั้น…มาร่วมหาคำตอบและวิธีจัดการกับเรื่องเหล่านี้ได้ในหนังสือเล่มนี้
หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า ทำไม Social Network ต่าง ๆ มันถึงนำเสนอสิ่งต่าง ๆ ให้เรารู้สึกดี มีความสุข จนเราหลงใหล หนังสือเล่มนี้อธิบายโดยเปรียบเทียบ Network ต่าง ๆ ที่เราเอาตัวเราเข้าไปสัมพันธ์ด้วยนั้นมีฟองสบู่ ที่คอยและกรองข้อมูลของเราในขณะที่เราพิมพ์ข้อมูล ค้นหาข้อมูล  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ความรู้สึก ที่บางคนเราตั้งใจพิมพ์ลงไปในเฟสบุ๊ค ในอินสตาแกรม หรือระบบเครือข่ายต่าง ๆ เครือข่ายสังคม หรือเว็บไซต์เหล่านั้นจะกรองข้อมูลและเก็บไว้เป็นข้อมูลเฉพาะตัวเราทีเดียว หลังจากนั้นเบื้องหลังเครือข่ายต่าง ๆ ที่เป็นระบบสมองกลอัจฉริยะ สามารถวิเคราะห์ คัดสรรข้อมูลส่งมาให้เราให้ตามที่เราชอบ หรือสมองกลมันวิเคราะห์ว่าเราชอบ  เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ เราอาจสังเกตได้จาก เฟสบุ๊คคัดสรร แนะนำเพื่อนให้เราเพิ่มเข้าไปใหม่ ซึ่งลองสังเกตดูก็จะเห็นว่า บางคนที่เราไม่รู้จักและเฟสบุ๊คแนะนำให้นั้น จะต้องมีความเกี่ยวโยงกับเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจเป็นเพื่อนของเพื่อน เคยอยู่โรงเรียนเดียวกัน เป็นต้น
ในส่วนของ Google ที่ผู้คนส่วนใหญ่จะตั้งไว้เป็นหน้าแรกของการเปิดใช้อินเตอร์เน็ต หนังสือ “ยิ่งหา ยิ่งหาย” บอกว่า การค้นข้อมูลผ่าน google ด้วยคนสองคนที่มีการใช้งาน google เสมอ ๆ และมีลักษณะนิสัยที่ต่างกัน ผลการค้นข้อมูลด้วยคำค้นเดียวกัน จะได้ผลลัพธ์ต่างกัน (ในขณะที่ดิฉันทำหน้าที่ช่วยค้นข้อมูลให้ผู้ใช้บริการ เมื่อบางครั้งไม่สามารถหาได้ จะส่งคำขอไปยังคณะทำงานบริการสารนิเทศฯ ให้ช่วยค้นหาให้ และจะมีเพื่อน ๆ บางสถาบันสามารถหาได้จากที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ฐานข้อมูลเชิงพาณิชย์) ในแต่ละปี Google จะมีการวิเคราะห์ สรุปคำสืบค้นยอดฮิต เมื่อสิ้นปีจะมีการออกวิดีโอสั้น ที่ชื่อว่า Year in search หรือที่เคยเรียกว่า zeitgeist ให้เราชมเสมอ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจว่า Google สามารถดักเก็บ keyword และเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันมาเชื่อมโยงกันได้อย่างน่าอัศจรรย์
เว็บไซต์ต่าง ๆ มีการติดตั้ง Cookie  สำหรับเก็บข้อมูลที่เราพิมพ์ลงไป   ในบทนำ “ยิ่งหา ยิ่งหาย” ยังบอกถึงสิ่งที่ทำให้เราฉุกคิดว่า เราได้ประโยชน์จากเว็บไซต์ หรือเว็บไซต์ได้ประโยชน์จากเรา หรือ win win “…คุณกำลังได้รับบริการฟรีจากเว็บเหล่านั้น และราคาที่จ่ายไปให้คือ ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณ และกูเกิลและเฟสบุ๊คจะแปลงข้อมูลดังกล่าวให้กลายเป็นตัวเงินได้อย่างรวดเร็ว”
การพัฒนาของเว็บไซต์ต่าง ๆ จะเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟที่พยายามทายด้วยว่าคุณกำลังคิดจะพิมพ์อะไร อย่างเช่น Google Instant (ฐานข้อมูลออนไลน์เชิงพาณิชย์ที่ห้องสมุดเราใช้อยู่ปัจจุบันบางฐานข้อมูลก็ใช้หลักการของ Google Instant เหมือนกัน) และ Google ก็บอกว่าสิ่งที่พวกเขาจะทำต่อไป คือ  Google จะบอกด้วยว่า  พวกเรา (คนพิมพ์) ควรจะทำอะไรต่อไป
การเชื่อมโยงระหว่างระบบอัลกอริธึมของเว็บไซต์กับตัวตนของผู้ใช้เว็บไซต์โดยการคาดเดาจาก keyword ที่ผู้ใช้คลิก แล้วเชื่อมโยงไปยังเรื่องอื่น ๆ กับคนอื่น ๆ ที่ใช้ keyword ตัวเดียวกัน โยงเข้าด้วยกัน แลกเปลี่ยนตัวตน และนำเสนอบริการอื่น ๆ ที่คาดว่าเราจะชอบด้วย เหมือนคนที่ใช้  keyword เดียวกัน
จากเรื่องใกล้ตัว ในฐานข้อมูลออนไลน์ที่เราใช้กันอยู่ ล้วนมี feed สำหรับให้ฐานข้อมูลคัดเลือกสิ่งที่อยู่ในความสนใจของเรา โดยคัดเลือกจาก keyword ที่เราพิมพ์และคลิกไปนั่นเอง  หรือถ้าเราลองสังเกตพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเราเอง จะเห็นว่า เรามักพิมพ์เรื่องที่เราชอบ เมื่อต้องการหาซื้อสินค้าจากออนไลน์ เราก็พิมพ์หาสินค้าที่เราชอบ สินค้าที่เราไม่ชอบเราก็จะไม่คลิกเข้าไปดูเลย
ในแต่ละบทของหนังสือพยายามยกตัวอย่างบริษัททางด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง  เว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ล้วนประสบความสำเร็จในการทำการค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Google, Amazon, Netflix, Facebook, Utube ว่าแต่ละบริษัท แต่ละเว็บไซต์ได้ทำการกรองข้อมูลของเรา (ที่เราเป็นผู้พยายามนำเสนอให้เขาเอง) และสะท้อนข้อมูลกลับมาให้เราอย่างไร
“ยิ่งหา ยิ่งหาย” จึงน่าจะหมายความถึง ยิ่งเราใช้บริการจากหน้าเว็บไซต์ต่าง ๆ มากเท่าใด ความเป็นตัวตนของเรา ก็ยิ่งหายไปเท่านั้น  ซึ่งหนังสือในหน้า 104 ก็บอกว่า “…ฟองสบู่กรองข้อมูลสามารถทำให้ความคิดสร้างสรรค์ลดลงได้ก็คือการกำจัดความหลากหลายบางอย่างที่กระตุ้นให้คนเราเกิดความคิดในแนวทางใหม่ และความคิดสร้างสรรค์ออกไป”
ในหน้า 251 ผู้เขียน จึงออกความเห็นไว้ว่า จุดถ่วงดุลที่ดีทีสุด คือ การเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ มอบอำนาจที่แท้จริงในการควบคุมข้อมูลส่วนตัวของเราให้กับเรา…สนับสนุนให้มีศุนย์บังค้บใช้ “หลักปฏิบัติเกี่ยวกับสารสนเทศที่เป็นธรรม (Fair Information Practice)” ได้แก่

  • คุณควรรู้ว่า ใครมีข้อมูลส่วนตัวของคุณ พวกเขามีข้อมูลอะไร และมันถูกนำไปใช้อย่างไร
  • คุณควรสามารถป้องกันข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณที่รวบรวมเอาไว้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งไม่ให้ถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่น
  • คุณควรสามารถแก้ไขข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวคุณเองได้
  • ข้อมูลของคุณควรปลอดภัย

การบังคับใช้หลักปฏิบัติเกี่ยวกับสารสนเทศที่เป็นธรรมนั้น เราต้องเริ่มคิดว่าข้อมูลส่วนตัวเป็นทรัพย์สินส่วนตัวประเภทหนึ่ง และต้องปกป้องสิทธิของเราที่มีอยู่นั้น
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ทำให้รู้สึกว่า ต้องมีความระมัดระวังในการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อไม่ให้มีการนำข้อมูลส่วนตัวของเราไปใช้ในทางที่ไม่เป็นธรรม

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร