เมื่อคนอื่นเขียนถึงเรา
เฟสบุ๊คส์มีการเตือนความทรงจำเสมอ On this Day ของวันที่ 13 กรกฎาคม 2554 ดิฉันขึ้นสเตตัสไว้ว่า..
การดำเนินงานในหอสมุดแห่งนี้เป็นแบบระบบครอบครัว มองโลกด้วยความสวยงาม ไม่ใช่มองเห็นแต่ความทุกข์ …. เราพูดอะไรแบบนี้ด้วยหรือนี่…. พร้อมทั้งมีลิงค์ที่ดิฉันพูดไว้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม 2552
ขณะนั้นดิฉันเป็นหัวหน้าฝ่ายบริการ แล้วพูดให้กับคณะกรรมการพัฒนาวิทยาลัยสู่องค์การเรียนรู้ วิทยาลัยแสงธรรม ซึ่งเป็นผู้เข้ามาศึกษาดูงาน และทางคณะฯ ได้ถอดบทเรียนไว้อย่างดีพร้อมกับเผยแพร่ที่ http://www.saengtham.ac.th/knowledge/index.php/component/content/article/34-km-news/13-2010-03-08-04-27-33
ดูจากระยะเวลาแล้วเขียนสเตตัสเรื่องนี้เมื่อเวลาผ่านไปถึงสองปี หากนับจากวันนั้นคือปี 2552 ถึงปัจจุบัน เกือบสิบปีทีเดียว แต่อ่านดูแล้วยังรู้สึกเหมือนเดิม จึงขอคัดลอกออกมาเผยแพร่ต่อว่าเราคิดและรู้สึกอย่างไรกับเรื่องการจัดการความรู้ ซึี่งโดยส่วนตัวแล้วมีความเห็นว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อชีวิตทุกด้าน
คำที่อยู่ในวงเล็บเป็นการขยายต่อความคิดในปัจจุบัน อ่านแล้วเหมือนเถียงกับตัวเองหรือคุยกับตัวเอง
– ปัญหาใหญ่ของ KM คือ คนในองค์กรไม่ค่อยคุยกัน คนที่เป็นผู้บริหารไม่ทำ KM อ้างว่ามีเวลาน้อย : (ทั้งที่ต่างมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน เรื่องเวลาได้แต่กรอกตา)
– องค์กรจะต้องมีความเข้มแข็ง โดยดูที่ตัวบุคคล (ทำงานเก่ง) ที่สำคัญต้องเป็นคนที่ “รักการเรียนรู้” และรักการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ รักการสร้างบรรยากาศ KM รู้นโยบายการสร้าง KM ของสถาบัน : (เริ่มที่ตัวเองทั้งสิ้น)
– สร้างและให้โอกาสแก่บุคคลในการสร้าง KM ทำอย่างไรจึงจะได้ทั้งคนดี คนเก่ง คนมีความสามารถ และมีความสุขจากการทำงาน : (ถ้ามองว่าเป็นโอกาสคือโอกาส ถ้ามองว่าเป็นภาระก็ไม่ใช่โอกาส)
– เปลี่ยนแนวความคิดจากการพิจารณา “ส่วนที่เลว” เป็น “ส่วนที่ดี” และสามารถพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น : (เรื่องนี้มักขึ้นกับอารมณ์ สถานการณ์และภูมิหลัง)
– หัวหน้ามีหน้าที่ดูแล แก้ปัญหา ให้กำลังใจ ไม่ใช่ลงมือทำเองทั้งหมด จะทำให้รู้สึกว่าผู้ต้องปฏิบัติทำอะไรไม่เป็นเลย : (ให้กำลังอาจไม่ใช่คำพูดสวยๆ แต่เป็นสิ่งที่ไปต่อได้)
– การทำงานทุกอย่างจะต้องมีการประเมินผล และยอมรับผลการประเมิน (แม้จะเจ็บปวดก็ตาม) : (ชีวิตต้องเรียนรู้ ทุกอย่างคือบทเรียน)
– การจัดการเรียนรู้จะต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงออก (ด้วยคำพูด/การกระทำ) รักการ “เก็บ” สิ่งที่ได้รู้มาเพื่อนำไปปฏิบัติหรือประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ : (ลาก่อนกับคำว่า “อีกแล้ว” “ประจำ” )
– การประชุมคือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิกในที่ประชุม ไม่ใช่มีลักษณะเป็นแบบการนั่งฟังเล็กเช่อร์ : (ขยันจด เท่าๆกับ อ่าน ทบทวน และลงมือทำ)
– KM เป็นกระบวนการที่ได้จาก “ประสบการณ์ตรง” และนำประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำไปสู่การปฏิบัติ: (ไม่ทำ ไม่ลงมือ ต่อไปเราก็จะพูดกับใครไม่รู้เรื่อง หรือวงที่เราพูดด้วยแคบลงๆ)
– การดำเนินงานในหอสมุดแห่งนี้เป็นแบบระบบครอบครัว มองโลกด้วยความสวยงาม ไม่ใช่มองเห็นแต่ความทุกข์: (ความงาม ความสุขของทุกงานมีอยู่ แค่หาให้พบและสนุกกับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต)
ส่วนบทสุดท้ายเป็นการสรุปว่า …..
การดำเนินงานด้าน Knowledge Management เป็นการสร้าง/เปิดช่องทางในการสื่อสารทั้งการเขียน และ on line ใช้กระบวนการถ่ายทอดความรู้ที่หลากหลาย มีการจัดทำแผนการจัดการความรู้ที่เด่นชัด มีการกำหนดบุคคลอย่างน้อยสองคนทำงานร่วมกันเพื่อไม่ให้ระบบสารสนเทศชะงักเมื่อคนใดคนหนึ่งไม่อยู่และคนที่อยู่สามารถจะตอบคำถามได้ และต้อง/ควรมีการเตรียมบุคคลเพื่อสานต่องาน/กิจกรรมเพื่อให้มีการต่อเนื่อง IT เป็นอุปกรณ์ที่สามารถเรียนรู้วิธีการใช้งานได้ อุปกรณ์จะมีประโยชน์เมื่อเรารู้ถึงสมรรถนะของอุปกรณ์นั้น ๆ ขอเสนอให้ใช้ระบบ KM ในเนื้องาน ไม่มีใครรู้ไปหมดทุกอย่าง แต่เราสามารถเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ได้ ถึงแม้เราแต่ละคนอาจจะมีมุมมองที่ต่างกัน (ตามลักษณะงานที่ตนรับผิดชอบ) ทำให้เกิดความรู้ที่หลากหลายจากสิ่งเดียวกัน
– มองและให้กำลังใจตนเอง เช่น ชมตนเองจากผลงานที่เราชื่นชม (โดยไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมาชื่นชม)
– หน่วยงานจะต้องมีความหนักแน่น และมีความแน่นอนในหลักการ และหลักปฏิบัติ
– ตรวจสอบว่ามีการเรียนรู้ มีการแลกเปลี่ยน มีการประเมินผล และมีการพัฒนาต่อยอดการเรียนรู้หรือไม่ เพียงใด
– การเดินไปเดินมาเพื่อใฝ่หา “ความคิด” จากเพื่อร่วมงาน และผู้รับบริการนั้น ก็คือ KM
…………………………………….
สิ่งที่อ่านแล้วสัมผัสได้คือบันทึกนี้ทำให้เห็นวิธีการดูงานและการสรุป เพราะตรงจุดตอบวัตถุประสงค์ของคนที่ไปซึ่งถือเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะการไปดูงานแต่ละที่มักมีหลายคนพูด ซึ่งอาจพูดไปตามบทหรือตามความคิด ณ ขณะนั้น การที่หน่วยงานจัดบุคคลให้ทำหน้าที่เป็นคุณลิขิตเก็บข้อมูลที่เป็นแก่นสารและนำเผยแพร่ต่อจึงดีกับทุกชีวิต
ถามว่ารู้สึกอย่างไรเวลาอ่าน ขอบอกว่าก็เพลินดี มีความเพลินเท่าๆกับเราอ่านความคิดของคนอื่น เพราะไม่ว่าความคิดแบบไหนหรือเป็นของใคร อย่างไรก็ต้องไปคิดต่อ ว่าจริงไหม คิดเหมือนเดิมไหม มีอะไรเพิ่มเติมไหม และอะไรเป็นปัจจัยในปัจจุบันกาล ➡
ปล. ในลิงค์ดังกล่าวมีส่วนที่พี่แมวได้พูดไว้ด้วยเช่นกัน ลองอ่านกันค่ะ