บริการคืองานที่ใจรัก

11 May 2017
Posted by Nong Panida

ประเทศไทยมีคนอยู่ในสาขาอาชีพที่เป็นงานบริการเยอะมาก แต่ไม่มีการเรียนการสอนเรื่องวิธีการบริการ การบริหารงานบริการ (Services management) คุณภาพในงานบริการ (Quality in services) อย่างจริงจัง งานบริการที่เห็นง่ายๆ ก็คือ อาชีพครูอาจารย์ แต่กลายเป็นว่าเด็กนักเรียน นักศึกษา กลับต้องไปบริการครูอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ควรเป็นแบบไปกลับ (2 ways) คือ ต่างฝ่ายต้องรู้จักหน้าที่ของตน เป็นบริการซึ่งกันและกัน
 
งานบริการที่สำคัญและเห็นได้ชัดก็คือ งานราชการ แต่ส่วนใหญ่หลายคนจะนึกถึงงานโรงแรมแต่อย่างเดียว ยังมีงานบริการอีกมากมาย ตั้งแต่ใช้เครื่องจักรน้อย เป็นประเภทแบบ “คนเจอคน” ก็คือ งานหมอดู หมอนวด ที่ปรึกษาฯ ไปจนถึงใช้เครื่องจักรมากมายแต่ใช้คนน้อย เช่น ตู้กดเงินสด (ATM) การให้บริการแบบออนไลน์ นั่นคือประเภทลูกค้าไม่เห็นพนักงานเลย
 
การบริหารงานบริการในสมัยใหม่ต้องเน้นเมตตาธรรมให้มาก ๆ ใช้ความรักนำหน้า เพราะโลกเปลี่ยนไปเยอะแล้ว มีเรื่องของโลก Social media ที่พร้อมจะกระจายข่าวได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้นจะมามัวงก ๆ เค็ม ๆ เอาเปรียบผู้บริโภคแบบเดิมไม่ได้ คนสมัยใหม่ ทั้งลูกน้อง พนักงาน และลูกค้า เป็นคน ยุคใหม่ ไม่ใช่พวก generation baby bloomer (อายุเกิน 60 ปี ที่ทำแต่งาน งานได้ผลแต่ธรรมชาติ ย่อยยับ) ไม่ใช่พวก generation X (อายุประมาณ 40 ถึง 60 ปี ที่สับสน อยากทำอะไรที่สะใจ เก็บกด มีปม) แต่เป็นพวก generation Y (อายุ 20 ถึง 40 ปี โดยประมาณ เป็นพวกชอบถาม ใช้คอมพิวเตอร์เก่ง) และพวกสุดท้าย generation Z (อายุไม่เกิน 20 ปี โดยประมาณ ที่ยังเอาแน่ไม่ได้ว่า จะออกมาอารมณ์ไหน) คนรุ่นใหม่ต้องการความรักนำหน้า ไม่ใช่อำนาจหรือเงินนำหน้า พวกเขามีความรู้ สื่อสาร แบ่งปันข้อมูลกันได้เร็วมาก ต้องการความหมายในชีวิตและใช้อารมณ์ ความรู้สึกมาก คนสมัยเก่าจะอดทนทำงาน ไม่เปลี่ยนงานง่าย ๆ หนีชนบทเข้าเมืองใหญ่ แต่สมัยต่อไป ชนบทมีอะไรมากมาย มีพอ ๆ กับเมืองใหญ่ คนจะไม่มาทำงานในเมืองใหญ่ คนรักเสรี คนรักธรรมชาติ คนเบื่อชีวิตมนุษย์เงินเดือนมากขึ้น องค์กรสมัยใหม่หลายแห่งได้หันมาใช้แนวทาง “ความสุขในองค์กร” (Happy workplace) มากขึ้น เพราะฉะนั้นหากองค์กรใดที่ยังงก ๆ เค็ม ๆ กดดัน เอาเปรียบพนักงาน เด็กเส้น เลื่อยขาเก้าอี้ แบ่งพรรคแบ่งพวก เล่นการเมืองในองค์กร ฯลฯ ก็ยากที่จะได้คนดีมีฝีมือเข้าไปร่วมงาน เครื่องมือการบริหารสมัยใหม่เปลี่ยนไป จากแนวเน้นรูปธรรม (Tangible) เช่น พวก KPI / ISO / TQM ฯลฯ ที่จะเอาแต่ตัวเลข เป้า วัดผลได้ เน้นผล (Results) ให้พนักงานแข่งขัน ตัดเกรดการทำงาน ฯลฯ ซึ่งนำความร้าวฉานแตกสามัคคี โดย CEO งก ๆ เค็ม ๆ มองว่าดี เพราะคิดว่า “แตกแยก เพื่อให้แข่งขันกันทำงาน” หรือ “ฉันขยัน ใครไม่ขยันก็ลงโทษ” หรือ “ฉันรักเงิน รักตำแหน่ง ใครคิดไม่เหมือนกัน ก็ไล่ออกไป ไม่รุ่ง” แนวคิดแบบรูปธรรมมากไปแบบนี้ ก็คือหายนะขององค์กร
สมัยใหม่ จะเน้นเรื่องนามธรรม (Intangible) มากขึ้น คือ ปลูกสร้างความรัก ความสามัคคี เน้นกระบวนการพอ ๆ กับผลงาน KPI ตั้งไว้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ (Motivation) ไม่ใช่แรงจูงใจ (Incentive) แบบเก่า ๆ KPI มีเพื่อการเรียนรู้ เอามาเป็นบทเรียนไม่ใช่เพื่อให้รางวัลและลงโทษ เครื่องมือสมัยใหม่จึงใช้แนวนามธรรม เช่น พฤติกรรมศาสตร์ (Behavior study) เรียนรู้วิธีเรียน (Learn how to learn) บริหารความรู้ (Knowledge management) ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ชื่นชมความดี (Appreciative inquiry) ความเป็นผู้นำ (Leadership) คนรุ่นใหม่จับตามองพฤติกรรมของเจ้านาย / หัวหน้า มากขึ้น งกไหม โหดไหม ช่วยสังคมแค่ไหน น่ารักไหม มีคุณธรรมไหม ฯลฯ มากกว่าได้เงินเดือนเท่าไร ยกเว้น พวกคนรุ่นใหม่ที่ไม่เก่ง หรืองก ๆ เค็ม ๆ เช่นเดียวกันก็จะมาอยู่ด้วยกัน คนร้าย ๆ จะทำงานกับคนร้าย ๆ องค์กรร้าย CEO ร้าย ๆ ก็มีแต่พนักงานร้าย ๆ หรือโง่ ๆ
 
การบริหารสมัยใหม่ มีสไตล์หรือรูปแบบการบริหารมากมาย หลากหลาย และคงไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ สิ่งแวดล้อมบริบท (Context) เป้าหมาย เทคโนโลยี การเมือง พฤติกรรมของคน ศีลธรรม ค่านิยมต่าง ๆ ฯลฯ เมื่อพฤติกรรมของคนในสมัยใหม่เปลี่ยนไป การบริหาร ก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม ไม่ควรแข็งทื่อ ยอมหักไม่ยอมงอ หรือเน้นรูปธรรมมากเกินไป
การบริหารสามารถแบ่งเป็นออกได้ประมาณ 3 ยุคใหญ่ ๆ คือ
ยุค ก – Version 1.0 แบบเชิงเดี่ยว
ยุค ข – Version 2.0 แบบหลากหลาย
ยุค ค – Version 3.0 แบบหลุดพ้น
 
การบริหารแบบ ยุค ก – Version 1.0 : ยุคอุตสาหกรรม เป็นการบริหารสไตล์เก่าที่เป็นรูปธรรมมาก ๆ และได้รับอิทธิพลมาจากยุคอุตสาหกรรม (Industrial era) เป็นโรงเรียนบริหาร ที่ทำให้ศิษย์ของตนเชื่อเรื่องผลิตคราวละมาก ๆ มาตรฐานเดียว ลูกค้าถูกเสมอ สุดท้ายคือ เงิน เป็นพวกเถ้าแก่แนว “ต้องสู้ ต้องสู้จึงจะชนะ” โดยที่ไม่รู้เลยว่าได้ทำลายอะไรไปบ้าง จะเอาแต่ผลงาน เน้นขยัน เอาชนะ เช่น ชนะเพื่อน ๆ ที่เคยมาดูถูกกันไว้ เอาชนะคำสบประมาทของใครสักคน ผู้บริหาร แบบ CEO ในยุค 1.0 เป็นผู้บริหารที่เชื่อว่าความฉลาด ความขยัน ความสำเร็จ วัดกันที่ตัวเลข วัดกันที่ปริมาณ นั่นคือวัดที่รูปธรรม เป็นกลุ่ม CEO ที่มองด้านเดียว เห็นแก่เงิน ลาภ ยศ สรรเสริญ คนพวกนี้จะชอบการประเมินแบบเน้นตัวเลขและเอาตัวเลขนั้นมาเป็นรางวัลและบทลงโทษผู้อื่น ยกเว้นตนเอง นั่นคือ ฉันเป็น CEO ฉันไม่ต้องผิด ฉันอยู่นอกกฎเกณฑ์ ชอบกำหนดงาน แบ่งฝ่าย แยกส่วน แบ่งพวก
การบริหารแบบ ยุค ข – Version 2.0 : เติมหัวใจให้องค์กร คือ มีความเป็นผู้นำมากกว่าผู้บริหาร (leadership ไม่ใช่ management) รักษาสมดุลได้ดี งานกับชีวิต งานกับความสุข (Happy workplace) บริหารแบบใช้ “จิตอาสาเพื่อสร้างผลงาน” มากกว่าบ้าผลงานจนขาดจิตอาสา รู้จักผลกำไรที่เป็นนามธรรม หรือต้นทุนที่เป็นนามธรรม ซึ่งสำคัญมาก ๆ ในงานบริการ
 
ทุนทางนามธรรม ได้แก่
1. Collaboration capital : ทุนทางใจ ได้ใจพนักงาน ๆ ยอมอุทิศให้องค์กร มีจิตอาสา
เต็มใจทำให้ จัดให้ ทำงานด้วยความรัก ใส่หัวใจลงในงาน ไม่คิดเล็กคิดน้อยซึ่งกันและกัน
2. Network capital : ทุนทางเครือข่าย ทุนทางสังคม ทุนทางกัลยาณมิตร คนในสังคมไม่
รังเกียจสินค้าและองค์กรของเรา เห็นความมีเมตตา มีสติ มีปัญญา จิตอาสาของในองค์กรของเรา มีพันธมิตรที่ดี มีกัลยาณมิตรแนะนำและช่วยเหลือกันในยามจำเป็น ในยามทุกข์ร้อนที่คาดไม่ถึง มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนในสังคม ทำงานข้ามองค์กร ได้รู้จักคนดี มีฝีมือ ได้คนดีมีฝีมือมาร่วมงาน Intellectual capital : ทุนทางสติปัญญา ทุกคนมีสติดี รู้ดี รู้ชั่ว มีนวัตกรรม (Innovation) ที่ดี พัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน และต่อเนื่อง
3. Boon capital : ได้บุญ ได้กุศล ข้ามภพ ข้ามชาติ เป็นมงคลกับชีวิต ได้ทุนทางอริยทรัพย์
เป็นทุนที่ใครจะขโมยไปก็ไม่ได้
การบริหารแบบ ยุค ค – Version 3.0 : วิธีพุทธ เป็นองค์กรที่ตั้งเป้า “บวชอยู่กับงาน” “สมดุลธรรม สมดุลงาน” “นิพพานคางาน” “ภายในสะสมวิมุติ ภายนอกก็ทำงานตามหน้าที่” เอากรรมต่าง ๆ ไม่ว่าดีหรือร้ายมาเป็นแบบฝึกหัดสะสมกำลังสติ สร้างปัญญาทางธรรม “งานได้ผล ธรรมะก็ได้ผล”
งานบริการ สิ่งที่สำคัญคือ ใจ คนที่ทำต้องสนุกกับงาน และรักที่จะบริการจริง ๆ เมื่อมาทำงานใหม่ ๆ หลานคนอาจจะขยัน ฟิตจัด แต่พอนานวันเข้า เจอเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ โดนกดดันมากเข้าอายุก็ มากขึ้น สุดท้ายหลายคนก็เลิกไป ดังนั้น ในเรื่องของงานบริการจะต้องทำให้เป็นอาชีพที่ทำแล้วมีความสุข “สะสมความสุข” เป็นความสุขข้างในลึก ๆ ไม่ใช่สุขแบบงก ๆ เค็ม ๆ การการกอบโกย เอากำไรจากลูกค้า และไม่ใช่งานที่มีความสุขแบบโหด ๆ จากการได้กดขี่ลูกน้องตนเอง ข่มขวัญคู่แข่ง หรือรังแกคนที่ด้อยกว่า ดังนั้น ความรักในงานบริการจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ส่งผลต่อคุณภาพงานบริการ เราจึงต้องตีความเรื่องความรักในงานบริการนี้ให้ออกเสียก่อน ความรักที่จะเน้นคือความรักในงาน ที่ก่อให้เกิดความสุขในงาน คือ
1. รักในงานที่ทำ : ได้ทำในสิ่งที่ชอบจริง ๆ ทำไปเพราะเป็นฉันทะ (ความพึงพอใจ) เช่น
ชอบเป็นพ่อครัว ชอบดูแลผู้ป่วย ฯลฯ เพราะทุกวันที่ตื่นขึ้นมา หากรู้สึกว่าอยากออกไปทำงาน นั่นแหละคือรักงาน
2. ดีใจกับความสุขของผู้อื่น : เป็น มุทิตา คือยินดีที่เห็นคนอื่นได้ดี ไม่อิจฉา โดยเฉพาะชอบที่
จะเห็นลูกค้าได้ใช้ของที่ดีจริง ๆ ทานของที่อร่อยจริง ๆ ดีจริง ๆ มันเป็นความรู้สึกที่ดีของผู้ให้
3. ทำด้วยจิตอาสา จิตสาธารณะ : เป็นเมตตา และกรุณา ที่อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ หรือสุข
ยิ่งขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่เป็นหมอที่งก ๆ เค็ม ๆ มาเป็นหมอเพราะทำเงินได้ดี หาเงินง่าย
4. เห็นประโยชน์ทางธรรมที่ยิ่งใหญ่และถูกต้อง : มีความเชื่อว่า งานแบบนี้แหละคืองานที่
บริสุทธิ์ งานที่เหมาะกับการฝึกสติ สะสมบารมีธรรม สะสมอริยทรัพย์ เมื่อโดนตำหนิ โดนต่อว่า โดนกดดัน ก็เอาวิกฤตเหล่านี้มาเป็นโอกาสในการสร้างกำลังสติ
จากการศึกษาหนังสือเล่มนี้แล้วนำมาวิเคราะห์หอสมุดของเราในด้านของบุคลากร จะมีอยู่ 2 generation คือ X กับ Y ทำให้เข้าใจธรรมชาติของทั้ง 2 gen  ซึ่งเป็นผลดีในการทำงาน เราสามารถปรับตัวเพื่อให้ทำงานได้กับทุกคนได้  และทำให้ทราบว่าเทคนิคและวิธีการต่าง ๆ ในการบริหารงานบริการให้เป็นด้วยความสุข ไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินที่จะทำได้ หากต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ทั้งจากตัวผู้นำ ผู้ปฏิบัติ หรือลูกค้า ทุกอย่างต้องร่วมมือกันจึงจะได้ผลที่ดี
เลขหมู่ HF5415.5 ผู้เขียน : ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

 

One thought on “บริการคืองานที่ใจรัก

  • จริงๆ อยากคอมเม้นท์นะ แต่คิดแล้ว มาขอขำๆ แบบ งกๆ เค็มๆ ก่อนดีกว่า
    มีโอกาสเจอตัวเป็นๆ ค่อยเม้าท์ เอ้ยยย เม้นท์ส่วนตัวละกันนะคะ
    แต่ตอนนี้ขอไม่เข้าสังกัดคน generation X (40 – 60 ปี) ได้มั้ยน่ะ ดูหดหู่จัง แฮ่!!

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร