บุญใหญ่พลิกชีวิต
เมื่อพูดถึงเรื่อง “บุญ” หลายคนที่ทำบุญก็คงประสงค์จะได้บุญกันทั้งนั้น และอยากรู้ว่าเราควรจะทำบุญแบบไหนที่จะได้บุญมากเป็นพิเศษ ได้บุญมากเพราะอะไร รวมถึงทำได้แล้วจะได้อะไรกลับมา โดยในพระไตรปิฎก จะมีตัวอย่างการทำบุญที่ได้บุญมากเป็นพิเศษ
หนังสือเล่มนี้ (เลขเรียก BQ4420.G6 ณ63) เขียนให้อ่านเป็นตอน ๆ เริ่มด้วยเรื่องกาลามสูตร ทำความรู้จักบุญ บุญใหญ่ประจำปี หลับหรือตายก็ยังได้บุญ ทำบุญมากไปไหม บุญที่ไม่ต้องใช้เงิน บรรลุอรหันต์เพราะบุญ บุญที่น่าท้าทาย รักษาศีลอุโบสถ ไม่ตกนรกอีกเลย ไม่ถึงวินาทีก็ได้บุญมาก บุญคุณต้องทดแทน โอกาสได้ทำทุกบุญ ทำบุญอย่างมีกิเลสได้หรือไม่ และมาทำบุญกันเถิด
กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล เป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชนไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ 10 ประการ กล่าวคือ 1.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟัง ๆ กันมา 2.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อ ๆ กันมา 3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ 4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา 5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา 6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา 7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล 8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน 9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้ 10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน (น.2-3)
การทำบุญ หมายถึง การกระทำทางกาย วาจา ใจ (กระทำทางใดทางหนึ่งหรือหลายทาง) ที่เราทำโดยเจตนาและมีความสุขขณะทำ แล้วการกระทำนั้นทำให้เราได้รับสิ่งดี ๆ กลับมาในอนาคต (พระไตรปิฎกเล่มที่ 22 ข้อ 334 และพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 ข้อ 59) (น.4)
การทำบุญ จะได้บุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 5 อย่าง ได้แก่ 1. ผู้ทำทานมีศีลแค่ไหน คนที่มีศีล (เคร่งครัด) ก็จะได้บุญมากขึ้น 2. ผู้รับทานมีศีลแค่ไหน หากผู้รับไม่มีศีล ไม่มีคุณธรรมเราจะได้รับบุญน้อย 3. ผู้ทำทานทำด้วยจิตที่เลื่อมใสแค่ไหน ทำบุญด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจ ด้วยความเมตตากรุณา ด้วยความรู้สึกอยากช่วยเหลือ ด้วยความปรารถนาดี 4. ผู้ทำทานเชื่อในกฎแห่งกรรมหรือไม่ 5. วัตถุที่ใช้ทำทานมีความบริสุทธิ์หรือไม่ ของที่ใช้ทำบุญนั้นหากได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ก็อาจจะได้บุญ แต่น้อยมากแถมยังได้บาปติดไปอีก (ข้อ 3, 5 เรียกรวมว่า จิตใจของผู้ทำทานมีความบริสุทธิ์แค่ไหน) (น.4-7)
วิธีการทำบุญ นอกจากทำด้วยตนเองยังมีอีกหลายช่องทางที่ทำได้ เช่น ชักชวนให้ผู้อื่นทำบุญ ยินดีที่ผู้อื่นทำบุญ สรรเสริญเวลาที่ผู้อื่นทำบุญ (พระไตรปิฎกเล่มที่ 24 ข้อ 201) และจะได้บาปเมื่อขัดขวางผู้จะทำบุญ เช่น วัดนี้รวยแล้วอย่าทำเลย, คนกำลังจะทำบุญ 500 บาท บอกว่าทำ 100 บาทก็พอ เป็นต้น
บุญแสดงผลเมื่อไร ปกติบุญสามารถแสดงผลได้ตลอดเวลาทุกภพทุกชาติทั้งตอนเป็นเปรต สัตว์เดรัจฉาน ตอนตกนรก หรือเป็นมนุษย์ แต่เป็นเพียงแค่เศษของบุญเท่านั้น บุญส่วนใหญ่จะแสดงผลให้เราไปเสวยสุขเป็นเทวดา (และนิพพาน) (น.9)
บุญใหญ่ประจำปี นั่นคือการทำบุญกฐิน หมายถึง การถวายผ้าให้หมู่สงฆ์นำไปเย็บและย้อมเพื่อนำไปใช้แทนผ้าไตร (สบง จีวร สังฆาฏิ) ที่เก่าหรือขาด การทำบุญกฐินถือได้ว่าเป็นการทำสังฆทานไปในตัว ได้บุญมากกว่าการทำทานทั่วไปนับล้านเท่า เพราะทำบุญกฐินมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น แต่ละวัดรับกฐินได้ปีละครั้ง ช่วงเวลาทำบุญมีเพียง 1 เดือน พระที่จะรับกฐินได้ต้องจำพรรษาที่วัดนั้นตลอดพรรษา จึงได้บุญมากกว่าสังฆทานทั่วไป ผู้ที่ทำบุญและพระจะได้บุญทั้งสองฝ่าย (พระไตรปิฎกเล่มที่ 5 ข้อ 136) ผลบุญจากการถวายกฐิน จะช่วยเรื่องของฐานะทางการเงินเพราะเป็นการทำบุญด้วยการให้ (ทาน) และผลทางอ้อมจะช่วยให้เรามีผิวพรรณที่ดีมีเสื้อผ้าสวยงามใส่ (น.18-19)
การทำทานแบบไหนได้บุญสูงสุด อ้างอิงจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 ข้อ 713 กล่าวไว้ว่า การทำสังฆทานได้บุญมากกว่าการทำบุญกับพระพุทธเจ้า (กฐินถือเป็นสังฆทานประเภทหนึ่ง) แต่มีคำกล่าวว่า “การที่บุคคลสร้างวิหารถวายสงฆ์ที่มาจากจาตุรทิศ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขบริโภค” แปลว่า การทำบุญด้วยเงินเท่ากัน การสร้างวิหารให้หมู่สงฆ์จากทั่วทุกสารทิศได้ใช้ ได้บุญมากกว่าการทำสังฆทานทุกประเภท (น.23) หากทำบุญแล้วของนั้นถูกนำไปใช้ประโยขน์ย่อมได้บุญมากกว่าไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ แต่เราไม่ควรกังวลว่าพระท่านจะได้กินได้ใช้ของที่เราถวายหรือไม่ การทำบุญที่ได้บุญตลอดเวลาทั้งกลางวัน กลางคืน สรุปว่า หากเราได้สร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ที่จะมีคนมาเข้าใช้ตลอดเวลาเราก็จะได้บุญตลอดเวลา และบุญจะเป็นเท่าทวีเมื่อเป็นศาสนประโยชน์จากการใช้สอยและจากการส่งเสริมให้ผู้อื่นได้ทำบุญ ส่วนการสร้างพระพุทธรูปถวายวัดถือว่าเรามีส่วนส่งเสริมให้เขาได้ทำบุญจากการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาโดยมีพระพุทธรูปที่เราสร้างเป็นตัวแทนเราก็จะได้บุญเพิ่มขึ้น
ทำบุญมากไปไหม ผู้เขียนอ้างอิงจากพระไตรปิฎกเล่มและข้อต่าง ๆ ให้ผู้อ่านได้คิดตามเกี่ยวกับการทำบุญมากหรือน้อยจึงจะได้บุญจริง (น.36-49) ใครจะทำบุญมากหรือน้อยเป็นไปตามกำลังทรัพย์และกำลังศรัทธาของเขา เห็นคนที่มีกำลังทรัพย์ไม่มากแต่เขารู้จักการให้ (ทาน) ก็อย่าไปดูหมิ่นเขาควรอนุโมทนาบุญ คนเราต้องรู้จักบริหารเงินให้สมดุล กล่าวคือ 1. เงินส่วนที่ได้ใช้ หมายถึง เงินหรือทรัพย์สมบัติส่วนที่เรานำไปซื้ออาหารและข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อนำมาอุปโภคบริโภค ทรัพย์สมบัติส่วนนี้ใช้แล้วจะหมดไปในชาตินี้นำติดตัวไปไม่ได้ 2. เงินส่วนที่นำไปทำบุญ หมายถึง เงินที่เรานำไปทำบุญเรียบร้อยแล้ว ทรัพย์สมบัติส่วนนี้ดูเหมือนว่าใช้แล้วหมดไป แต่ความจริงทรัพย์สมบัติส่วนนี้กลายสภาพเป็นบุญ เราสามารถนำติดตัวไปในชาติหน้าได้ 3. เงินส่วนที่ยังไม่ได้ใช้ (เงินเก็บ) ไม่ว่ามีมากหรือน้อย ส่วนที่เรายังไม่ได้ใช้ถือว่าไม่เป็นทรัพย์สมบัติของเรา หากตายไปก็เป็นของทายาทเราไม่สามารถนำติดตัวไปได้เลย ฉะนั้นควรที่ทุกคนจะต้องบริหารเงินอย่างเหมาะสมทั้งสามส่วน (น.52-53)
บุญที่ไม่ต้องใช้เงิน โดยการมีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยว ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำความปรารถนาของเราให้เป็นจริงด้วยตัวเอง ให้ลงมือทำ และทำบุญละบาป การกราบไหว้พระพุทธรูปควรเป็นการบูชาด้วยจิตศรัทธา (บุญเกิดขึ้นที่จิตใจ) เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตเพื่อเตือนสติให้ตั้งใจทำบุญให้มากละบาปทั้งปวง พระธรรม คือธรรมที่กำจัดความอยาก ความหลงมัวเมา ทำให้กิเลสตัณหาน้อยลงและทำให้นิพพานได้ พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ผู้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ควรทำความเคารพ เมื่อมีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตจะเป็นกุศล มีความผ่องใส เป็นการทำบุญทางจิตใจ จึงถือว่าได้บุญ (น.72-73)
บรรลุอรหันต์เพราะบุญ จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ข้อ 131 ว่าชนใดเที่ยวจาริกไปยังสังเวชนียสถานทั้ง 4 ด้วยจิตที่เลื่อมใส เคารพ ศรัทธาแล้ว เมื่อตายไปจากชาตินี้ ชาติต่อไปจะได้ขึ้นสวรรค์อย่างแน่นอน
บุญที่น่าท้าทาย กล่าวถึง การรักษาศีล 5 เป็นการลดการทำบาปจากการฆ่าสัตว์ การลักขโมย การละเมิดลูกเมียผู้อื่น การโกหก การดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยให้รับผลของกรรมชั่วน้อยลง นอกจากการรักษาศีล 5 แล้ว สามารถได้บุญมากขึ้นด้วยการรักษาศีลอุโบสถ
รักษาศีลอุโบสถ สามารถทำได้สองแบบคือ ไปรับศีลอุโบสถฟังธรรมที่วัด และพักอาศัยอยู่ที่วัด หรือรักษาศีลอยู่ที่บ้าน สิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจ ความตั้งใจ ขั้นตอนที่ 1 กราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ ขั้นตอนที่ 2 บูชาพระรัตนตรัย ขั้นตอนที่ 3 อาราธนาศีลอุโบสถ ขั้นตอนที่ 4 นมัสการพระพุทธเจ้า (ตั้งนะโม 3 จบ) ขั้นตอนที่ 5 ไตรสรณคมน์ ขั้นตอนที่ 6 สมาทานศีลอุโบสถ ขั้นตอนที่ 7 อธิษฐานรักษาศีลอุโบสถ ขั้นตอนที่ 8 สรุปศีลอุโบสถ (ขั้นตอนนี้เฉพาะรับศีลกับพระเท่านั้น) ขั้นตอนที่ 9 กราบลาพระ (มีรายละเอียดการปฏิบัติตน เช่น ต้องงดเว้นอาหารชนิดใดบ้าง การแต่งกาย เป็นต้น)
ไม่ถึงวินาทีก็ได้บุญมาก โดยการเจริญภาวนาซึ่งจะได้บุญมากก็ต่อเมื่อเราสามารถทำให้จิตใจ นิ่งสงบจนได้สมาธิและได้ฌาน ภายในจิตใจไม่มีความรู้สึกโกรธแค้นหรืออยากทำร้ายใครแม้แต่นิดเดียว แล้วแผ่จิตที่มีเมตตาออกไปในทุกทิศทางรอบตัวโดยไม่เฉพาะเจาะจงผู้รับ สภาพจิตใจจะเป็นกุศลอย่างแรงกล้าเมื่อจิตเป็นกุศลเกิดขึ้นจึงถือได้ว่าเป็นการทำบุญทางจิตใจ จิตใจจะผ่องใสบริสุทธิ์มากขึ้น ทำให้มีความสุขมากขึ้น การเจริญสติยังช่วยลดโอกาสที่กรรมเก่าจะแสดงผลกับชีวิตเราได้และที่สำคัญที่สุด การเจริญสติยังถือได้ว่าเป็นเส้นทางไปสู่นิพพานอีกด้วย นอกจากนี้ยังกล่าวถึงอานิสงส์ของการเจริญภาวนาที่เห็นทันตา (น.134-142)
บุญคุณต้องทดแทน คำว่ามีบุญคุณหมายถึง การที่ใครมีน้ำใจช่วยเหลือแล้วเราทดแทนช่วยเหลือกลับในขอบเขตที่เหมาะสมไม่บาป ไม่เบียดเบียนตนเองและครอบครัว และที่ไม่ควรลืมคือ บุญคุณของพ่อแม่ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 20 ข้อ 278 ว่า ถ้านำพ่อแม่ไว้บนบ่าทั้งสองข้างของเราให้ท่านใช้ชีวิตกินอยู่ขับถ่ายบนบ่าของเรา และอาบน้ำประพรมน้ำหอมให้ท่านแม้จะทำให้ท่านแบบนั้นทุกวันตลอดชีวิตก็ไม่ถือว่าตอบแทนบุญคุณของท่านหมด (น.145) การที่เกิดมาเป็นมนุษย์ในทุกวันนี้สภาพแบบไหน ก็ตามทั้งดีและไม่ดีเหตุเพราะเหมาะสมกับกรรมเก่าของเรา พ่อแม่เป็นผู้ให้ เลี้ยงดูทั้งร่างกายและจิตใจตั้งแต่เกิดจนโตอยู่เกือบ 30 ปี บางคนเรียนจบ ป.ตรี แล้วต่อ ป.โท อีก และไม่ว่าจะอายุเท่าไรท่านก็ยังรักและห่วงลูกเสมอ ลูกมีสุขพ่อแม่สุขด้วย ลูกมีทุกข์พ่อแม่ก็ทุกข์ด้วย ดังนั้นถ้าทำบาปกับพ่อแม่จะบาปหนัก การทดแทนบุญคุณพ่อแม่ทำได้หลายอย่าง เช่น เมื่อมีรายได้ก็แบ่งให้ท่านบ้างเมื่อท่านใช้เงินเราใช้อุปโภคบริโภคลูกจะได้บุญมาก การช่วยพ่อแม่ที่ไม่ค่อยทำบุญให้ทำบุญ ให้มีศีลมากขึ้น การไปหาท่าน โทรศัพท์หา ซื้ออาหารที่ท่านชอบไปให้ และคิดว่ามีอะไรบ้างที่ทำแล้วพ่อแม่มีความสุขให้รีบทำ
โอกาสได้ทำทุกบุญ การบวชถือเป็นบุญหนึ่งคนที่บวชได้แต่ไม่บวชนับว่าน่าเสียดาย และเมื่อตั้งใจบวชอาจได้บุญจากความตั้งใจดี แต่หลังจากนั้นจะได้บุญหรือบาปอยู่ที่การประพฤติผู้ที่บวชแล้วไม่ทำกิจของสงฆ์ ไม่เรียนรู้พระธรรม ไม่ปัดกวาดวัด เอาแต่กินกับนอน บุคคลนั้นย่อมตกนรก (จากอรรถกถาเล่มที่ 33 หน้า 202 อรรถกถาสูตรที่ 5) น.163 นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการเป็นพระที่ดีจะได้บุญอย่างไรบ้าง (น.162-175)
ทำบุญอย่างมีกิเลสได้ไหม คำพูดว่าทำบุญอย่าหวังผล แต่เป็นไปได้ไหมที่จะไม่หวังผล เนื้อหาตอนนี้จะยกตัวอย่างการทำบุญของพระพุทธเจ้าและบุคคลสำคัญทางพุทธศาสนาคนอื่น ๆ พระพุทธเจ้าขณะทรงเป็นพระโพธิสัตว์พรองค์ก็ทรงทำบุญเพื่อหวังบรรลุธรรม แม้การทำบุญโดยหวังผลตอบแทนจะได้บุญน้อย ก็ย่อมดีกว่าไม่ได้ทำบุญเลย
บทสุดท้าย มาทำบุญกันเถิด การทำบุญที่ได้บุญมากตามพระไตรปิฎกนั้นจะเห็นได้ว่าการทำบุญที่ไม่ต้องใช้เงินได้บุญมากกว่าการทำบุญที่ต้องใช้เงิน แม้การทำบุญที่ได้บุญมากนี้จะแสดงผลบุญได้ครอบคลุมทุกด้าน แต่ที่ได้มากกว่านั้นเป็นผลบุญที่เปรียบเทียบคุณค่าทางด้านจิตใจและการหลุดพ้น บุญเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนกันและกันได้อย่างสมบูรณ์แบบจนเราสามารถทำบุญแบบหนึ่งแล้วไม่ต้องทำบุญแบบอื่นได้ (น.198)
ความรู้ในพุทธศาสนามีไว้เพื่อให้เรียนรู้และเข้าใจว่า การทำบุญแบบไหนได้บุญมากแต่พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เลือกทำเฉพาะบุญที่ได้บุญมาก ฉะนั้นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับชาวพุทธคืออย่าดูหมิ่นการทำบุญที่ได้บุญเพียงเล็กน้อย