อย่าคิดว่าฉันเหมือนเขา อย่าเหมาว่าเราเหมือนกัน
เห็นชื่อเรื่องแล้วสะดุดตา เลยต้องหยิบมาอ่าน เนื้อหาน่าสนใจมากค่ะ ขอเล่าเฉพาะในตอนที่ชอบนะคะ ส่วนเนื้อหาอื่นๆ ถ้าใครสนใจก็สามารถหาอ่านได้ค่ะ ชื่อเรื่อง “อย่าคิดว่าฉันเหมือนเขา อย่าเหมาว่าเราเหมือนกัน” เขียนโดยคุณกิติมา หงส์ศิริกาญจน์ เลขเรียก BF697 ก63 นะคะ
ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ล้วนแตกต่างกัน บางคนเกิดมาพร้อมความกล้า บางคนเกิดมาพร้อมกับความกระตือรือร้น บางคนเกิดมาพร้อมกับความรัก และบางคนเกิดมาพร้อมกับการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม คนทุกคนเกิดมาในแบบของตัวเองและคงไม่มีใครจะมาทดแทนใครได้ ไม่มีใครเลยที่จะเหมือนกัน 100% พื้นฐานของคนประเภทต่าง ๆ จะเน้นที่การอธิบายลักษณะพฤติกรรมและบุคลิกภาพของคนประเภทต่าง ๆ ในรูปแบบของความชอบ ซึ่งจะไม่มีการแบ่งแยกว่าลักษณะบุคลิกภาพใดดีหรือไม่ดี จะไม่มีบุคลิกภาพใดถูกหรือผิด เป็นเพียงลักษณะของความแตกต่างของคนประเภทต่าง ๆ เท่านั้น ซึ่งทุกคนมีบุคลิกภาพในตัวเอง เพียงแต่ว่าเราจะใช้บุคลิกใดออกมามากกว่ากัน ซึ่งถ้าเปรียบกับบ้าน บ้านแต่ละหลังจะมีห้องหลายห้อง เราอยู่ได้ทุกห้องแต่มักจะมีเพียงห้องหนึ่งที่เราชอบอยู่มากที่สุด บุคลิกภาพก็เช่นกัน ทุกคนมีบุคลิกภาพในตัวเองแต่บุคลิกไหนถูกดึงออกมาใช้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด บุคลิกของทุกคนนั้นประกอบไปด้วย “5 ไม่” หรือ “5s No” ซึ่งในบางกรณี “5s No” จะถูกเรียกว่า “No PAGES”
1. No Psychology Symptom
แบบประเมินนี้เป็นแนวทางในการประเมินบุคลิกภาพที่สามารถใช้วัดคนที่มีสติดี ไม่ใช่คนที่มี
ปัญหาทางจิตเวช หรือเด็กที่ยังไม่มีความสามารถในการเข้าใจภาษาในแบบประเมิน
2. Not Ability
บุคลิกภาพของแต่ละคนไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสามารถของบุคคลนั้น เราไม่สามารถบอกได้
ว่าคนกลุ่มไหนมีความเก่งมากที่สุด เพราะท้ายที่สุดก็อาจขึ้นอยู่กับความพยายามและความตั้งใจของคน คนนั้นด้วย
3. Not Generic
คนเราแต่ละคนมีความหลากหลาย และความหลากหลายนี้ก็ไม่มีสิ่งที่ถูกหรือผิด การที่เรา
เป็นคนที่ชอบพูดคุยไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนที่แย่หรือถ้าเราเป็นคนที่ชอบเก็บตัวก็ไม่ได้หมายความว่าเรา ไม่ดี ทุกบุคลิกภาพก็มีทั้งจุดดีและจุดด้อยในตัวเองทั้งนั้น
4. Not An Excuse
บุคลิกภาพไม่ใช่ข้ออ้างในการทำหรือไม่ทำอะไรในชีวิต เช่น ถ้าบอกว่าเราเป็นคนเงียบ แต่
ไม่สามารถเอามาอ้างบอกว่า เราไม่มีทางพูดนำเสนอหน้าห้องได้ เพราะทุกคนมีบุคลิกอยู่ในตัวอยู่แล้ว
5. No Standard
ไม่มีมาตรฐานตายตัว เราไม่สามารถนำคนที่เงียบหนึ่งคน มาบอกว่าอีกคนพูดมากกว่า ดังนั้น
สองคนนี้เป็นคนบุคลิกภาพคนละประเภทได้
สรุปแบบง่าย ๆ คำว่าบุคลิกภาพในที่นี้คือคำว่า “PAN” อธิบายได้คือ
P = Preference หมายถึง ทุกคนมีทุกส่วนของทุกบุคลิกภาพอยู่ในตัวเองเพียงแต่ว่าแต่ละบุคคลอาจจะชอบส่วนใดส่วนหนึ่งมากว่าส่วนที่เหลือเท่านั้น
A = Always หมายถึง พฤติกรรมใดที่เรามักจะแสดงออกและใช้ในการทำกิจวัตรประจำวัน ทั้งที่ทำงานและที่บ้านมากที่สุด
N = Natural หมายถึง พฤติกรรมที่เราสามารถแสดงออกมาได้เป็นธรรมชาติที่สุด ไม่ต้องฝืน หรือพยายาม
บุคลิกภาพ 4 มุมมอง ตามแนวแนวความคิดของ MBTI ได้มีการแบ่งลักษณะบุคลิกภาพของคนออกมาเป็น 4 มุมมองใหญ่ คือ
1. ด้านการรับพลังงาน จะเป็นการดูว่าเราได้รับพลังงานมาจากที่ใด มาจากโลกภายนอก
(Extrovert) หรือว่าโลกภายใน (Introvert)
2. ด้านการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ จะเป็นการเทียบดูว่าสมองของเรามีการรับรู้ข้อมูล ประมวลผล
ข้อมูลและพิจารณาสื่อของข้อมูล ว่าได้รับมาได้อย่างไร จากประสาทสัมผัส (Sensing) หรือ จากสัญชาตญาณ (Intuitive)
3. ด้านการตีความ สรุป และตัดสินข้อมูล จะเป็นการดูว่าสมองและอารมณ์ของเราได้สร้างให้
เราเป็นคนที่ตัดสินข้อมูล หรือให้ค่ากับข้อมูลประเภทใดมากกว่ากัน ระหว่างข้อมูลในเชิงตรรกะ (Thinking) หรือข้อมูลในเชิงคุณค่าด้านความรู้สึก (Feeling)
4. ด้านการใช้ชีวิตประจำวัน โดยจะเป็นการดูว่าโดยปกติแล้วเราเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างไร ใช้
ชีวิตแบบเรื่อยๆ สบายๆ มีความยืดหยุ่น (Perceiving) หรือชอบชีวิตที่เป็นระเบียบแบบแผน มีความเคร่งครัด (Judging)
ซึ่งในแต่ละมุมมองจะมีการอธิบายตัวอักษรแยกเป็นคู่ เพื่อแสดงถึงพฤติกรรมที่ตรงข้ามกันใน
ทั้ง 4 มุมมอง เรียกว่า “EIDO” (อีโด้) โดยแยกเป็น
1. Energy = การรับพลังงาน แบ่งเป็น Extrovert (ภายนอก) กับ Introvert (ภายใน)
2. Information = การรับรู้ข้อมูล แบ่งเป็น Sensing (ประสาทสัมผัส) กับ Intuitive (สัญชาตญาณ)
3. Decision = การตัดสินใจ Thinking (ด้วยเหตุผล) กับ Feeling (ด้วยอารมณ์ความรู้สึก)
4. Orientation = การใช้ชีวิต Judging (วางแผน) กับ Perceiving (ตามสถานการณ์)
ในการอ่านหนังสือเล่มนี้ ดิฉันขอนำเสนอในส่วนของ Decision หรือ การตัดสินใจ ซึ่งแบ่ง
ออกเป็น Thinking กับ Feeling โดยจะใช้ตัวย่อว่า T กับ F ในหัวข้อนี้ได้กล่าวถึงว่าคนแต่ละกลุ่มให้คุณค่ากับเรื่องของอะไรในการตัดสินใจ ประเมิน และหาข้อสรุปให้กับสิ่งต่าง ๆ โดยอิงจากแนวทางการประเมินข้อมูลเป็นเกณฑ์พื้นฐานในการสรุปและตัดสินใจ
คนประเภท T มาจากคำว่า Thinking (หรือ Thinker) มักจะเป็นที่เข้าใจผิดว่าความหมาย ของคนกลุ่มนี้คือ นักคิดหรือคนที่ชอบใช้เวลาในการคิดเรื่องต่าง ๆ (คุณลักษณะการของการเป็นนักคิดน่าจะหมายถึงชาว I หรือ Introvert ว่าเป็นคนที่ได้รับพลังงานจากภายใน ทำให้ลักษณะเด่นของคนกลุ่มนี้คือชอบคิด ก่อนที่จะพูดหรือทำอะไร) แต่คำว่านักคิดที่เราหมายถึงคือคนที่มีเหตุผล ชอบใช้ตรรกะ มั่นคง เด็ดเดี่ยว ไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัว โดยมากชาว T จะเป็นคนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกมากนัก ทำให้เมื่อคนกลุ่มนี้พบเจอปัญหาใดๆ ก็ตาม มักจะถอยห่างออกมาดูสถานการณ์จากด้านนอก และตัดสินว่าอะไรถูกหรือผิดจากหลักการความถูกต้องของตน ทำให้หลายครั้งชาว T จะถูกชาว F มองว่าเป็นคนที่ใจร้าย เย็นชา ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และดูแข็งทื่อ ไม่เป็นมิตรเท่าที่ควร เป็นเพราะคนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญในเรื่องของความถูกต้อง ความยุติธรรมและความเสมอภาค ดังนั้นเมื่อเจอกับปัญหาใดๆ คนกลุ่มนี้จะกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นและพูดออกมาตรงๆ เพราะมีความเชื่อว่าสิ่งที่พูดมันคือความจริง มันคือหลักการที่ถูกต้อง ที่ควรจะเป็น และจะรู้สึกไม่พอใจอย่างมากเมื่อเห็นความไม่ยุติธรรม ไม่เสมอภาคเกิดขึ้น
คนประเภท F มาจากคำว่า Feeling (หรือ Feeler) คือคนที่ให้คุณค่ากับความรู้สึก ความเป็นคน และความสัมพันธ์ หมายถึง ในการตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งเขามักจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์อันดีกับคนที่เขารู้จัก เขามักจะพิจารณารวมไปถึงความจำเป็นส่วนตัวของคนๆ นั้น และความรู้สึกที่เรามีต่อคนๆ นั้นอีกด้วย ทำให้พฤติกรรมที่ถูกแสดงออก คือคนกลุ่มนี้ดูเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจคนรอบตัว สามารถสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเพื่อนๆ ในกลุ่มได้ คนกลุ่มนี้มักจะเป็นคนที่ “โหยหาความรัก” หรือต้องการเป็นที่รักของคนรอบตัว แต่ก็มีหลายครั้งถ้าต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งกับเพื่อนในกลุ่ม พวกเขาจะพยายามประนีประนอมก่อน และถ้าไม่ได้เขาก็ยอมเสียสละเป็นผู้ผิดเสียเองเพื่อให้บรรยากาศแห่งความรักและมิตรภาพเกิดขึ้น และจะทนไม่ได้ถ้าต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แต่ละคนเกลียดกัน ชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน และที่สำคัญ “ไม่จริงใจ” ต่อกัน ถ้าคนกลุ่มนี้รับใครเข้ามาเป็นเพื่อนสนิทแล้ว เขาจะรักเพื่อนมากชนิดยอมถวายหัว เถียงให้ทุกเรื่อง เห็นดีเห็นงามด้วยกับทุกสิ่งที่ เพื่อนทำ
อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วทั้งชาว T และ ชาว F ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นในการทำงาน การเรียน หรือในชีวิตประจำวัน หากเพียงแค่แต่ละฝ่ายเรียนรู้และทำความเข้าใจความแตกต่างของกันและกัน ซึ่งชาว T ก็เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วชาว F ก็มีเหตุผลแต่ด้วยความเกรงใจ เลยไม่พูดตรง ๆ ออกมาเท่านั้น และชาว T เองก็ต้องรู้จักปรับตัวด้วยเช่นกัน รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองนึกถึงความรู้สึกความต้องการของผู้อื่นดูบ้าง ลองให้ความสำคัญกับเหตุผลมากขึ้นอีกนิด ทุกคนก็จะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข