ความเป็นมาของบาร์โค้ด
บาร์โค้ด (Barcode) ในภาษาไทยเรียกว่า รหัสแท่ง คือสัญลักษณ์แทนข้อมูลที่เป็นรหัสเลขฐานสอง(Binary codes)ในรูปแบบของเส้นแถบสีดำและสีขาวที่ขนานกันหลายๆเส้นในแนวตั้ง มีความหนาบางและความห่างของช่องไฟต่างกันวางเรียงกันอย่างมีกฎเกณฑ์ สามารถเก็บข้อมูลและอ่านข้อมูลจากแถบบาร์โค้ดได้รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือสูงเป็นระบบมาตรฐานสากลที่นิยมใช้กันทั่วโลก ระบบบาร์โค้ดจะใช้ควบคู่กับเครื่องอ่านที่เรียกว่า เครื่องยิงบาร์โค้ด (Scanner) เจ้าบาร์โค้ดที่เราเห็นกันจนคุ้นตาและช่วยอำนวยความสะดวกอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์นี้ มีประวัติการคิดค้นและประดิษฐ์ออกมาให้คนทั้งโลกได้ใช้และมีพัฒนาการอย่างไรนั้นน่าสนใจไม่น้อยเช่นกันเราลองย้อนไปหาที่มากันค่ะ
การประดิษฐ์บาร์โค้ดนั้นมีจุดเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1932 มาจาก Wallace Flint แห่ง Harvard Business School เขาได้เสนอโครงการวิธีการเลือกสินค้าที่ต้องการจากรายการด้วยการใช้บัตรเจาะรูเป็นตัวกำหนดรหัสสินค้า เมื่อลูกค้าเลือกที่จะซื้อสินค้าชนิดใดก็นำบัตรมาใส่ลงเครื่องอ่าน ระบบก็จะดึงเอาสินค้าออกมาจากห้องเก็บสินค้าพร้อมทั้งออกบิลและตัดสต็อกโดยอัตโนมัติ แต่ความคิดของเขายังไม่ได้ถูกสานต่อ จนกระทั่ง Bernard Silver กับ Norman Joseph Woodland ทั้งคู่นี้ได้นำความคิดนั้นมาสานต่อและทำสำเร็จเป็นบาร์โค้ดชนิดแรกในปี ค.ศ. 1952 โดยลักษณะของบาร์โค้ดแบบแรกนี้เป็นรูปวงกลมสีขาวซ้อนกันหลายๆวงบนพื้นหลังสีเข้มคล้ายแผ่นปาเป้า และได้จดสิทธิบัตรไว้ในปีเดียวกัน บาร์โค้ดแบบแรกนี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกในร้านค้าปลีกในเครือ Kroger แห่งเมืองซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ ประเทศอเมริกา เมื่อปีค.ศ. 1967 ต่อมาได้มีการพัฒนาบาร์โค้ดมาเรื่อยๆพร้อมกับการประดิษฐ์เครื่องสแกนบาร์โค้ดขึ้นมาเพื่อใช้ควบคู่กัน บาร์โค้ดที่ผ่านการพัฒนามาแล้วนี้ได้เริ่มใช้งานครั้งแรกที่ Marsh’s ซูเปอร์มาร์เก็ต ในปีค.ศ. 1974 สินค้าชิ้นแรกที่ถูกสแกนด้วยบาร์โค้ดแบบใหม่ล่าสุดนี้คือ หมากฝรั่ง Wrigley’s Juicy Fruit ภายหลัง Joseph Woodland ได้รับรางวัล National Medal of Technology จากประธานาธิบดี จอร์จ บุช ในปีค.ศ. 1992 (ส่วนเพื่อนของเขาที่ร่วมพัฒนาบาร์โค้ดมาด้วยกัน คือ Bernard Silver นั้นได้เสียชีวิตไปก่อนแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962) นี่คือความเป็นมาในยุคแรกๆของบาร์โค้ด
ปัจจุบันวิวัฒนาการของบาร์โค้ดพัฒนาไปมากทั้งรูปแบบและความสามารถในการเก็บข้อมูล บาร์โค้ดมีทั้ง 1 มิติ, 2 มิติ และ 3 มิติ ส่วนประเภทของบาร์โค้ดแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1. บาร์โค้ดภายใน (Internal Code) เป็นบาร์โค้ดที่ทำขึ้นใช้เองภายในองค์กรต่างๆ ไม่สามารถนำไปใช้ภายนอกได้ (ของหอสมุดเราก็ใช้บาร์โค้ดแบบนี้)
2. บาร์โค้ดมาตรฐานสากล (Standard Code) เป็นบาร์โค้ดที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มี 2 ระบบ คือ
– ระบบ UPC (Universal Product Code) เริ่มใช้เมื่อปี 1972 มีการใช้แพร่หลายในอเมริกาและแคนาดา กำหนดมาตรฐานโดย Uniform Code Council Inc.
– ระบบ EAN (Europe Article Numbering) เริ่มใช้เมื่อปี ค.ศ. 1976 มีการใช้อย่างแพร่หลายมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม
สำหรับประเทศไทยนั้นเริ่มนำระบบบาร์โค้ดมาใช้อย่างจริงจังราวปีพ.ศ. 2536 โดยมีสถาบันสัญลักษณ์รหัสแท่งไทย หรือ TANC (Thai Article Numbering Council) เป็นองค์กรตัวแทนของ EAN ภายใต้การดูแลของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ใช้รหัสตัวเลข 13 หลัก
ส่วนบาร์โค้ดที่เป็นชนิด 1 มิติ หรือ 1D(1 Dimension Barcode) คือบาร์โค้ดที่เป็นแถบเส้นสีดำสลับสีขาวในแนวตั้ง บรรจุข้อมูลได้ประมาณ 20 ตัวอักษร เช่น ISBN ที่ใช้กับหนังสือและบาร์โค้ดของสินค้าทั่วไปตามซูเปอร์มาร์เก็ตหรือห้างสรรพสินค้าที่เราพบเจอจนคุ้นชินแล้วนั่นเอง
บาร์โค้ดชนิด 2 มิติ หรือ 2D(2 Dimension Barcode) เป็นบาร์โค้ดที่พัฒนาเพิ่มเติมจากบาร์โค้ดแบบ 1 มิติ สามารถบรรจุข้อมูลได้มากประมาณ 4 พันตัวอักษรในพื้นที่เท่ากันหรือเล็กกว่า ข้อมูลที่บรรจุใช้ได้หลายภาษา สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้อ่านบาร์โค้ดแบบ 2 มิตินี้ใช้ได้กับเครื่องอ่าน(เครื่องสแกน)ทั้งแบบใช้เลเซอร์, คลื่นวิทยุ(RFID), จนถึงใช้กับเครื่องโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนที่มีกล้องซึ่งติดตั้งโปรแกรมถอดรหัสไว้ ส่วนลักษณะของบาร์โค้ดชนิดนี้มีหลากหลายแบบทั้งแบบวงกลม สี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผ้า บาร์โค้ดชนิด 2 มิติได้แก่ Data Matrix, MaxiCode, QR Code, PDF417 เป็นต้น บาร์โค้ด 2 มิติเกือบทุกแบบถูกพัฒนาและสร้างมาใช้โดยอเมริกา ยกเว้น QR Code (Quick Response) ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Nippon Denso ประเทศญี่ปุ่น ในปีพ.ศ. 2537 เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ต่อมาจึงนำมาใช้กับสื่อสิ่งพิมพ์และสินค้าอื่นๆ QR Code สามารถบรรจุข้อมูลได้มากและละเอียด การอ่านข้อมูลรวดเร็วใช้เวลาน้อยจึงได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มากมายที่หันมาใช้ QR Code เพราะเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายรวดเร็วจึงมีการใช้ในแทบทุกวงการทุกสาขาอาชีพ
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์ของ สวทช. และสหวิชา ดอท คอม