การเสด็จเยี่ยมพสกนิกรครั้งแรก
วันนี้นับเป็นวันสำคัญอีกวาระหนึ่งของปวงชนชาวไทย เพราะเป็นวันคล้าย วันราชาภิเษกสมรส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งประกอบพระราชพิธีนี้เมื่อวันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2493 นับเป็นเวลา 66 ปีแล้วที่ทั้งสองพระองค์ทรงครองคู่กันมา ทรงเป็นมิ่งขวัญดวงใจของคนไทยที่เคารพและเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมตลอดกาล ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญมีพระชนม์มายุยิ่งยืนนาน พระพลานามัยแข็งแรง สถิตย์เป็นพระมิ่งขวัญของปวงพสกนิกรชาวไทยสืบต่อไปตลอดกาลนาน
ตลอดระยะเวลาอันยาวไกลของทั้งสองพระองค์นี้ ท่านทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรของพระองค์ท่านตลอดมานับแต่เริ่มขึ้นครองราชย์ ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรทั่วทุกภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลหรือลำบากเพียงใดพระองค์ท่านก็เสด็จไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงตั้งพระทัยไว้แต่แรกว่าจะเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในประเทศก่อนจึงจะเสด็จไปต่างประเทศ แล้วสถานที่แห่งแรกๆที่ทั้งสองพระองค์เริ่มเสด็จพระราชดำเนินออกไปเยี่ยมเยือนพบปะกับพสกนิกรของพระองค์ก็คือจังหวัดในแถบภูมิภาคตะวันตกของเรานี่เอง เรามาติดตามกันเลยค่ะ
เริ่มจากเดือนพฤษภาคม ในปีพ.ศ. 2495 ได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทรงมีพระประสงค์จะไปดูความเป็นอยู่ของชาวบ้านในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกับที่ตั้งของวังไกลกังวล ในวันหนึ่งทั้งสองพระองค์ก็ทรงขับรถไปตามทางที่ชาวบ้านแถบนั้นใช้สัญจรทำให้รถยนต์พระที่นั่งเกิดไปติดหล่มบริเวณหน้าบ้านของลุงรวย แห่งบ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ลุงรวยได้เข้าช่วยพร้อมกับเพื่อนบ้านร่วมกับทหารและตำรวจเข็นรถพระที่นั่งของทั้งสองพระองค์จนขึ้นจากหล่มมาได้ โดยที่ลุงรวยก็ไม่ทราบว่าเป็นรถของใครในตอนแรก พระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งถามถึงความเป็นอยู่และปัญหาของคนในพื้นที่นั้น ลุงรวยจึงกราบทูลว่าปัญหาก็คือไม่มีถนนเพราะพวกเขาอยู่ห่างตลาดหัวหินไม่เท่าไหร่ แต่การเดินทางเพื่อนำพืชผลทางการเกษตรไปสู่ตลาดนั้นยากลำบากและใช้เวลาในการเดินทางมากเป็นวันๆจึงจะนำไปขายได้บางครั้งจึงเกิดเน่าเสียก่อนจะไปถึง ก่อนเสด็จกลับได้พระราชทานเงินให้ลุงรวยไว้ 36 บาท หลังจากนั้นไม่นานที่นั่นก็เกิดถนนขึ้นคือ ถนนห้วยมงคล ถือเป็นถนนพระราชทานสายแรก ที่ทำขึ้นเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรที่อยู่ห่างไกล และเป็นเส้นทางแรกที่ทอดนำไปสู่ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อื่นๆที่ตามมาอีกมากมายในเวลาต่อมา
ครั้งต่อมาที่ถือว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินออกเยี่ยมราษฎรอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของทั้งสองพระองค์ คือ ที่ตลาดบ้านโป่ง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ด้วยเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดบ้านโป่ง เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2497 ในครั้งนั้นถือว่าเป็นการเกิดอัคคีภัยใหญ่ครั้งหนึ่งเพราะทั้งตลาดไหม้ราบเป็นเถ้าถ่านทั้งหมด ราษฎรต่างเดือดร้อนสิ้นเนื้อประดาตัวเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ชาวตลาดบ้านโป่งอยู่ในภาวะท้อแท้สิ้นหวังนั้น ในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2487 เวลาประมาณ 10.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงขับรถพระที่นั่งมายังที่เกิดเหตุด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยสมุหราชองครักษ์ โดยไม่มีใครรู้ล่วงหน้ามาก่อน แม้แต่ตำรวจที่ถวายการอารักขาก็ไม่ทราบ (พระองค์ทรงแวะเสวยพระกระยาหารที่พระที่นั่งชาลีมงคลอาสน์ พระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม) พระองค์ทรงขับรถวนดูที่เกิดเหตุโดยรอบแล้วทรงไต่ถามผู้ประสบภัย จากนั้นได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1 แสนบาท พร้อมให้เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุ อ.ส. นำเสื้อผ้าอาหารและยารักษาโรคพระราชทานแก่ผู้ประสบอัคคีภัย แล้วเสด็จกลับในเวลา 15.30 น. การเสด็จเยี่ยมในครั้งนี้ทำให้ราษฎรที่กำลังทุกข์ท้อแท้สิ้นหวัง ได้กลับมามีชีวิตชีวาและชุ่มชื่นหัวใจเกิดพลังชีวิตอีกครั้งด้วยพระบารมีของทั้งสองพระองค์ และเป็นเรื่องราวที่เล่าถ่ายทอดมายังคนรุ่นลูกหลานถึงความประทับใจในครั้งนั้น
ในช่วงกันยายนต่อจากนั้น ทั้งสองพระองค์ยังคงเสด็จเยี่ยมพสกนิกรในหลายจังหวัดของภาคกลาง อาทิ นครปฐม สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท อยุธยา นครนายก ส่วนในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกันนี้ทรงเสด็จเยี่ยมในภาคอีสาน สำหรับการเสด็จเยี่ยมราษฎรในภาคเหนือนั้น มีขึ้นในเดือน กุมภาพันธ์ถึงมีนาคม พ.ศ. 2501 ส่วนภาคใต้ทรงเสด็จไปในช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2502 ทั้งหมดนี้คือการเสด็จออกไปพบปะไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกับพสกนิกรของทั้งสองพระองค์เป็นครั้งแรกในช่วงต้นแห่งรัชสมัยของพระองค์ท่านและทั้งสองพระองค์ยังคงเสด็จไปในที่ต่างๆตลอดเรื่อยมาอย่างสม่ำเสมอ การเสด็จแปรพระราชฐานคือการได้ออกไปเยี่ยมเยียนราษฎรในทุกภูมิภาคนั่นเองแล้วยังได้ติดตามงานในโครงการพระราชดำริต่างๆด้วยว่ามีความสำเร็จและก้าวหน้าไปอย่างไรประชนได้รับประโยชน์เต็มที่หรือไม่ จนกระทั่งทั้งสองพระองค์ทรงมีพระชนมายุมากขึ้นและทรงพระประชวรจึงได้งดการเสด็จพระราชดำเนินแต่โครงการพัฒนาต่างๆที่พระองค์ทรงริเริ่มไว้ยังคงดำเนินต่อไป