อ่านหนังสือวันละเล่ม "พระไตรปิฏก" สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้

18 February 2015
Posted by peekan

การอ่านนอกจากจะทำให้เราเป็นคนที่สมบูรณ์แล้ว ยังได้กุศลด้วย
วิธีที่เราจะได้เข้าเฝ้าและรู้จักองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดา อันเป็นที่เคารพยิ่งของพวกเรา ก็คือการได้ศึกษาเข้าถึงพระไตรปิฏก
พระไตรปิฏก สิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้    (The Pali Canon  :What a Buddhist Must Know)
หนังสือเล่มนี้มุ่งพูดถึงเฉพาะพระไตรปิฏกภาษาบาลีฝ่ายเถรวาทเท่านั้น
พระไตรปิฏก คือคัมภีร์ที่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือพระธรรมวินัยสถิตอยู่ คำว่า ติปิฏก ในภาษาบาลีแปลว่า “ตระกร้า ๓ ใบ” ที่บรรจุคำสอน หมายถึงหลักคำสอนหมวดใหญ่ ๓ หมวด
เนื่องจากพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า พระธรรมวินัยจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ภายหลังที่พระองค์ล่วงลับไปแล้ว พระไตรปิฏกจึงเป็นที่ที่ชาวพุทธยังสามารถเข้าเฝ้าพระศาสดาของตน และศึกษาพระปริยัติศาสน์ แม้พระองค์จะเสด็จปรินิพพานไปกว่า ๒๕๐๐ ปีแล้วก็ตาม
การสังคยานาพระไตรปิฏกครั้งแรก ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมและจัดหมวดหมู่พุทธพจน์ ได้จัดขึ้นภายหลังจากพุทธปรินิพาาน ๓ เดือน เนื่องจากเป็นการดำเนินการโดยที่ประชุมพระอรหันตเถระ ๕๐๐ องค์ การสังคยานาครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทดังที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน ในระหว่างการสังคยานา เมื่อมีการลงมติยอมรับคำสอนส่วนใดแล้ว ที่ประชุมก็จะสวดพร้อมๆ กัน เนื้อหาที่สวดนี้จึงถือเป็นการรับรองว่าให้ใช้เป็นแบบแผนที่จะต้องทรงจำชนิดคำต่อคำเพื่อถ่ายทอดแก่ผู้อื่น และสืบทอดแก่อนุชน
คำสอนดังที่สืบทอดกันมาด้วยปากเปล่าเช่นนี้ ได้จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรกในคราวสังคยานาครั้งที่ ๔ ที่จัดขึ้นในประเทศศรีลังกาเมื่อราวปี พ.ศ. ๔๖๐
หลังจากเวลาผ่านไป ๒๕๐๐ ปี และภายหลังการสังคยานาครั้งสำคัญ ๖ ครั้ง พระไตรปิฏกบาลีของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เก่าแก่ที่สุด ดั้งเดิมที่สุด สมบูรณ์ที่สุด และถูกต้องแม่นยำที่สุด  ที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน
พระไตรปิฏก : คัมภีร์ที่บรรจุพุทธพจน์ คือพระธรรมวินัย มีชื่อที่ชาวตะวันตกรู้จักกันโดยทั่วไปว่า Pali Canon หรือ Buddhist Cannon ทั้งนี้เพราะวาเป็นที่ประมวลหลักการพื้นฐานของศาสนา (=canon) ซึ่งในที่นี้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา (=Buddhist) และข้อความในคัมภีร์นี้บันทึกด้วยภาษาบาลี (=Pali) แต่คำบาลีที่เรียก พระไตรปิฏก ก็คือ ติปิฏก จากคำว่า ติ”สาม” + ปิฏก “ตำรา”, คัมภีร์   หรือ กระจาด  (อันเป็นภาชนะบรรจุของ) ซึ่งตามด้วยตัวอักษรใช้ หมายถึงคำสอนหมวดใหญ่  ๓ หมวด คือ
๑.  พระวินัยปิฏก  ได้แก่  ประมวลระเบียบข้อบังคับของบรรพชิตที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้สำหรับภิกษุ และภิกษุณี
๒.  พระสุตตันตปิฏก ได้แก่ ประมวลพระสูตร หรือคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยักเยื้องไปต่างๆ ให้เหมาะกับบุคคลสถานที่เหตุการณ์ มีเรื่องราวประกอบ
๓. พระอภิธรรมปิฏก ได้แก่ประมวลคำสอนที่เป็นเนื้อหาหรือหลักวิชาล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคล หรือเหตุการณ์ ไม่มีเรื่องราวประกอบ
พระไตรปิฏกกับพุทธบริษัท ๔
พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์จะปรินิพพานต่อเมื่อพุทธบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลาย ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะรักษาพระศาศนาได้ คือ
๑.  ต้องเป็นผู้มีความรู้ เข้าใจหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ดี และประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้องตามคำสอน
๒.  นอกจากรู้เข้าใจเอง และปฏิบัติได้ดีแล้ว ยังสามารถบอกกล่าวแนะนำสั่งสอนผู้อื่นได้ด้วย
๓.  เมื่อมีปรัปวาทเกิดขึ้น คือ คำจ้วงจาบสอนคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนจากพระธรรมวินัย ก็สามารถชี้แจงแก้ไขได้ด้วย
ตอนที่พระองค์จะปรินิพพานนั้น มารก็กราบทูลว่า เวลานี้พุทธบริษัท ๔ มีคุณสมบัติพร้อมอย่างที่พระองค์ได้ตรัสเหมือนกับเป็นเงื่อนไขไว้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าเป็นอย่างนั้น จึงทรงรับที่จะปรินิพพานโดยทรงปลงพระชนมายุสังขาร
พุทธดำรัสนี้ ก็เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัท ๔ แต่ต้องมองให้ตลอดด้วยว่า ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัที่เป็นอย่างไร
ชาวพุทธจะเป็นผู้มีคุณสมบัติถูกต้องที่จรรโลงพระศาสนาไว้ ก็เริ่มด้วยมีคัมภีร์ที่จะให้เรียนรู้เข้าใจพระธรรมวินัยอันเป็นของแท้ก่อน
เป็นอันว่า ในแง่นี้พระไตรปิฏกก็เป็นหลักของพุทธบริษัท ต้องอยู่คู่กับพุทธบริษัท โดยเป็นฐานให้แก่พุทธบริษัท ซึ่งจะทำให้ชาวพุทธเป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะรักษาพระศาสนาไว้ได้
พระไตรปิฏกกับพระสัทธรรม ๓  : อีกแง่หนึ่ง พระพุทธศาสนา คือพระสัทธรรม ๓ ได้แก่ ๑. ปริยัติ ๒. ปฏิบัติ  ๓. ปฏิเวธ
ปริยัติสัทธรรม คือ สิ่งที่พึงเล่าเรียน  พุทธพจน์ที่เรานำมาเล่าเรียนศึกษา ซึ่งอยู่ในพระไตรปิฏก
ปฏิบัติสัทธรรม คือ สิ่งที่พึงปฏิบัติ
ปฏิเวธสัทธรรม คือ ผลที่พึงบรรลุ ได้แก่ มรรค ผล นิพพาน
พระพุทธเจ้าเมื่อทรงบรรลุผลการปฏิบัติของพระองค์แล้ว จึงทรงนำประสบการณ์ที่เป็นผลจากการปฏิบัติของพระองค์นั้นมาเรียบเรียงร้อยกรองสั่งสอนพวกเรา คือทรงสั่งสอนพระธรรมวินัย คำสั่งสอนของพระองค์นั้นก็มาเป็นปริยัติของเรา คือเป็นสิ่งที่เราจะต้องเล่าเรียน แต่ปริยัติที่เป็นผลจากปฏิเวธนั้น หมายถึง ปฏิเวธของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ คือผลการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า และที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับเท่านั้น
ถ้ามีปัญหาว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้อะไร ก็ตอบได้ว่า ตรัสรู้อริยสัจจญาณทั้งสี่ ถามว่าตรัสรู้ได้อย่างไร ก็ตอบได้ว่าตรัสรู้ด้วยญาณ คือความหยั่งรู้ที่วนรอบสามมีอาการสิบสองในสัจจะทั้งสี่นั้น  ที่มีวนรอบสามนั้นคือ โดยสัจจญานความหยั่งรู้ในสัจจะ คือ ความจริง โดยกิจจญาณความหยั่งรู้ในกิจ คือหน้าที่ที่พึงกระทำที่พึงปฏิบัติ  โดยกตญาณความหยั่งรู้ในกิจนั้นแหละ ว่าได้กระทำสำเร็จแล้ว
การจัดระเบียบหมวดหมู่คำสอน
๑.  พระวินัย เป็นแหล่งที่รวมศีลของพระสงฆ์  ประมวลพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพุทธบัญญัติเกี่ยวกับความประพฤติ ความเป็นอยู่
๒.  พระสุตตันตปิฏก ความจริงมีครบหมด มีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา แต่ท่านชี้ให้เห็นจุดเด่นของพระสุตตันตปิฏกว่าเน้นในสมาธิ คือ การพัฒนาด้านจิตใจ ประมวลพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือพระธรรมเทศนา  คำบรรยาย หรืออธิบายธรรมต่างๆ ที่ตรัสยักเยื้องให้เหมาะกับบุคคลและโอกาส
๓.  พระอภิธรรมปิฏก เน้นหนักด้านปัญญา  เนื้อหาทางด้านวิชาการล้วนๆ ยกเอาสภาวธรรมที่ละเอียดประณีตลึกซึ้งมาวิเคราะห์วิจัย จึงเป็นเรื่องของปัญญา ต้องใช้ปรีชาญาณอันลึกซึ้ง
ถ้าใครปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา ที่แสดงไว้ในพระไตรปิฏกชีวิตของผู้นั้นจะกลายเป็นเหมือนตัวพระพุทธศาสนาเอง  เหมือนดังว่าเรารักษาพระพุทธศาสนาไว้ด้วยชีวิตของเรา ตราบใดชีวิตเรายังอยู่พระพุทธศาสนาก็ยังคงอยู่ เราอยู่ไหน เราเดินไปไหน พระพุทธศาสนาก็อยู่ที่นั่น
อย่างนี้เรียกว่าพระพุทธศานาอยู่ด้วยวิธีรักษาอย่างสูงสุด พูดได้ว่า พระไตรปิฏกเข้ามาอยู่ในเนื้อตัวของคนแล้ว ไม่ใช่อยู่แค่ตัวหนังสือ
พระอภิธรรมปิฏก ประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม คือหลักธรรมคำสอน และอธิบายที่เป็นเนื้อหาวิชาล้วนๆ ไม่เกี่ยวด้วยบุคคล หรือเหตุการณ์ แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ ดังนี้
๑.  ธัมมสังคณี  ๒.  วิภังค์  ๓.  ธาตุกถา   ๔.  ปุคคลบัญญัติ  ๕.  กถาวัตถุ  ๖.  ยมก  ๗.  ปัฏฐาน
สรุป  พระไตรปิฏก มีเนื้อความทั้งหมด  ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็น
๑.  พระวินัยปิฏก ๒๑.๐๐๐ พระธรรมขันธ์
๒.  พระสุตตันตปิฏก ๒๑.๐๐๐ พระธรรมขันธ์
๓.  พระอภิธรรมปิฏก ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
อริยสัจจะ คือ ความจริงที่พระอริยะ คือ ผู้เจริญประเสริฐพึงรู้ ความจริงที่ทำผู้รู้ให้เป็นพระอริยะคือว่า ความจริงอย่างประเสริฐ ความจริงอย่างยิ่งสี่ประการ ได้แก่  ๑. ทุกข์  พึงกำหนดรู้  ๒.  สมุทัย  พึงละ   ๓.  นิโรธ  พึงกระทำให้แจ้ง   ๔.  มรรค พึงปฏิบัติอบรม ทำให้มี ให้เป็นขึ้น
พระพุทธเจ้าทรงสอน ธรรม ๓ อย่าง 
๑.  การไม่ทำบาปทั้งปวง
๒.  การทำกุศลให้ถึงพร้อม
๓.  การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
สนใจข้อมูลเพ่ิ่มเติม หยิบหนังสือได้ที่หมวด  BQ1105 ป46  ชั้น 3 อาคารหอสมุดฯ

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร