การอ้างถึงผลงานหรือใช้ข้อมูลในผลงานของผู้อื่น
ในการทำรายงานหรืองานวิจัย เมื่อเขียนรายงาน ผู้เขียนจะต้องเขียนจากองค์ความรู้ตนเองที่ได้จากการศึกษาวิเคราะห์สารสนเทศทุกประเภทมาเป็นอย่างดีแล้ว และเพื่อความน่าเชื่อถือของข้อมูล บางครั้งต้องใช้องค์ความรู้ของผู้ที่ศึกษามาก่อนมาอ้างถึง การอ้างถึงให้ไม่เป็นการลอกเลียนวรรณกรรม (plagiarism) สามารถทำได้โดยมีวิธีการ ดังนี้
1. Paraphrasing หมายถึง การกล่าวถึงความคิดผู้อื่นด้วยคำพูด ภาษาเขียน และสำนวนโวหารของตนเองเหมือนเป็นการ rewrite คำพูดของผู้อื่น เพื่อเป็นการอธิบายข้อมูลที่เราได้อ่านและทำความเข้าใจแล้ว ให้ผู้อ่านงานของเราเข้าใจตามที่เราต้องการสื่อสาร แต่ยังต้องคงสาระสำคัญของต้นฉบับไว้ โดยไม่แต่งเติมความคิดเห็นของตนเอง ดังนั้นการเขียนแบบ paraphrasing ผู้เขียนจึงต้องอ่านต้นฉบับให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จนสามารถบรรยายและอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ การเขียนแบบ paraphrasing นั้นก็เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือการลอกเลียนผลงานทางวิชาการ/การคัดลอกงานวิชาการ (Plagiarism)
วิธีการเขียนแบบ paraphrasing
1. อ่านให้เข้าใจแล้วปิดงานต้นฉบับ ลงมือเขียนจากความเข้าใจของตนเอง โดยใช้คำที่เป็นคำเหมือน(Synonyms)กับคำหลักของเนื้อหาของต้นฉบับ
2. พบประโยคที่มีความซับซ้อน หรือประโยคยาว ๆ ให้ตัดประโยคออกเป็นประโยคที่สั้นลง หรือมีประโยคที่สามารถรวมได้ก็รวมเข้าเป็นประโยคเดียวกัน
3. เปลี่ยนรูปประโยค เช่น กาล (Tense) เป็นต้น
4. อ่านให้เข้าใจแล้วลำดับความคิดใหม่ (ต้องไม่เปลี่ยนความหมายของต้นฉบับ) และต้องระวังความยาวของการเขียนใหม่ซึ่งต้องยาวใกล้เคียงกับต้นฉบับ
2. Quoting หรือ อัญพจน์ คือข้อความหรือคำพูดที่คัดลอกมา เพื่อใช้ประกอบการเขียนรายงาน โดยลอกเอาคำพูดตามต้นฉบับมาโดยไม่มีการถอดความใด แล้วจึงนำเอารายละเอียดของต้นฉบับไปเขียนไว้เป็นรายการอ้างอิงท้ายรายงาน การนำเอาคำพูดของผู้อื่นมาใช้ในรายงานของเรานั้น ผู้เขียนย่อมคิดแล้วว่าจะเป็นการจะเป็นการสนับสนุนความคิดของเรา หรือคำพูดของต้นฉบับนั้นมีความชัดเจนดีจนไม่สามารถหาคำพูดอื่นมาทดแทนได้ จึงต้องยกข้อความนั้น ๆ มาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ในการเขียนรายงานหากเราไม่สามารถเขียนประโยคขึ้นใหม่จากความเข้าใจ (Paraphrasing) แล้ว ก็ต้องใช้วิธีเขียนแบบ Quoting คือยกคำพูดมาอ้าง
การเขียนอัญพจน์ในเนื้อหารายงาน
- กรณีที่อัญพจน์เป็นความเรียงและมีความยาวไม่เกิน 4 บรรทัด ให้เขียนหรือพิมพ์ต่อจากข้อความในรายงานได้ โดยไม่ต้องขึ้นบรรทัดใหม่ และต้องใส่เครื่องหมายอัญประกาศกำกับข้อความเหล่านั้นด้วย
- กรณีอัญพจน์ที่เป็นความเรียงมีความยาวเกิน 4 บรรทัด ไม่ต้องใช้เครื่องหมายอัญประกาศ(“……….”) กำกับข้อความเหล่านั้นแต่ให้พิมพ์ขึ้นบรรทัดใหม่โดยย่อหน้าเข้ามาอีก 10 ระยะตัวพิมพ์ หรือประมาณ 1 นิ้วจากขอบกระดาษด้านซ้ายมือในกรณีที่มีย่อหน้าภายในอัญพจน์ก็ให้ย่อหน้าเข้ามาอีก 3 ระยะตัวพิมพ์
One thought on “การอ้างถึงผลงานหรือใช้ข้อมูลในผลงานของผู้อื่น”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
หนูชอบตรงที่บอกว่า อ่านแล้ว “ปิด” ต้นฉบับ แล้วเขียนเอง ซึ่งหมายความว่าเราอ่านจน “อิน” แล้วถ่ายทอดออกมาได้ด้วยภาษาของเราตามที่พี่บอกในการเขียนแบบ paraphrasing เป็นการทบทวนการเขียน อ่านแล้วทำให้ต้องมาคิดทบทวนตัวเองและนำไปใช้
ในความเห็นส่วนตัวมีความเห็นว่าการลอกเลียนวรรณกรรม สมัยนี้ระบาดในงานเขียนทุกชนิด ทั้งที่เจ้าตัวรู้ ไม่รู้ จนถึงทำเป็นไม่รู้ ทั้งที่มีคนอื่นบอกทั้งทางตรงและทางอ้อม อะไรแบบนี้เป็นต้น ซึ่งพอทำกันไปนานๆก็กลายเป็นความเคยชิน ติดเป็นนิสัย เลยไปจนถึงการสร้างความเคยชินให้คนอื่นไปทำบ้างโดยไม่รู้ตัว
สมัยนี้ที่เห็นบ่อยๆ คืองานเขียนตามบล๊อก/ตามบันทึกในเฟสบุ๊คส์ ที่เอามาคัดลอกมาเกือบทั้งหมดหมด ตัดต่อจากคำนำหรือแต่ละบท เอามารวมๆกัน แล้วแค่บอกที่บรรทัดสุดท้ายว่าเอามาจากไหนหรือบ้างก็ไม่บอก
เรื่องนี้ประสบการณ์ตรงคือเคยชมเพื่อนว่าเขียนดีจัง อ่านแล้วชอบถูกใจ แต่เพื่อนบอกว่าเห็นว่าเห็นว่าดีเลยลอกมาให้อ่าน แต่เพื่อนรู้สึกตกใจค่ะ รีบบอกเลยว่าคราวหลังจะบอกแหล่งที่มา เพราะเค้าลืมเรื่อง plagiarism คิดว่าเป็นงานเขียนธรรมดาไม่ใช่งานวิจัยหรือผลงานอะไร ตั้งแต่นั้นมาเพื่อนจะบอกตั้งแต่บรรทัดแรกเลยค่ะว่าลอกมาจากไหน หรือหากไม่รู้จะใส่ที่บรรทัดสุดท้ายว่า @Unknown อาจเป็นเพราะเพื่อนคนนี้อยู่ในต่างประเทศที่เคร่งครัดเรื่องนี้มากค่ะ
ความจริงไม่อยากเขียนเปรียบเทียบว่าต่างประเทศหรือประเทศไทย เพราะฟังแล้วดูแล้วรู้สึกไม่ดี
ขอบคุณนะคะที่เขียนเรื่องนี้และมีประเด็นใหม่ๆ มานำเสนอ