ชมเชย

:mrgreen: คนไทยเป็นคนที่ไม่ค่อยชมกันเท่าไร เราอาจเคยได้ยินว่า ” ชมมากๆ เดี๋ยวเด็กจะเหลิง” ชมมากๆเดี๋ยวเด็กจะคิดว่าตนเองเก่งทุกอย่าง”  อะไรประมาณนี้ แต่ในความเป็นจริงนั้น การชมที่ทำแต่พอดีและอย่างเหมาะสม ให้ผลที่ดีกว่าการไม่ชมหรือการไม่พูดอะไรเลย
มีงานวัจัยหลายชิ้นจากหลายสถาบัน ยืนยันตรงกันว่าคนไทยใช้คำพูดกับคนใกล้ตัวแย่กว่าพูดกับคนไกลตัว โดยเฉพาะกับคนที่อยูุ่ด้วยกันนาน ๆ จนคุ้นเคยแล้ว เหตุผลหนึ่งเพราะเราเข้าใจว่าสนิทกันแปลว่าไม่ต้องระมัดระวังคำพูด ถือว่าเป็นคนกันเอง ตัวอย่างเช่น เราพูดกับพี่น้องของเรา พูดกับพ่อแม่ของเรา พูดกับสามีหรือภรรยาของเรา แย่กว่าเราพูดกับลูกค้าหรือคนอื่นที่เราไม่รู้จัก
สาเหตุที่เขียน Blog เรื่องนี้ เพราะรอบประเมินนี้ได้เรียนออนไลน์ของ กพ. วิชาความเชื่อมั่นในตนเอง มีอยู่บทหนึ่งที่เรียนแล้วถูกใจ เลยอยากมาเล่าสูู่กันฟัง เผื่อว่า เพื่อนจะนำไปใช้ในชีวิตการทำงาน หรือไปปรับใช้กับชีวิตส่วนตัวก็ได้ รวมทั้งได้ไปค้นหาเอกสารอื่นมาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มสีสันให้เข้าใจง่ายขึ้นไปอีกหน่อย
ส่วนที่ว่า เป็นส่วนที่กล่าวถึงการทำงานกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งแน่นอนว่า ชีวิตการทำงานเราพบเจอทั้งกับเพื่อนร่วมงานที่เก่ง ทั้งที่นิสัยดีและไม่นิสัยไม่ดี และไม่เก่ง ทำงานเข้ากับเราได้ หรือเข้ากับเราไม่ได้ (ในความคิดของเรา)  แต่เมื่อเราทำงานด้วยกันเราถือว่า เป็นครอบครัวเดียวกัน เปรียบเสมือนอยู้ในบ้านเดียวกัน ก็ต้องพยายามปรับตัวเข้าหากัน ลด ละ เลิก บางสิ่ง เพื่อนการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ดังนั้นเราจึงต้อง
😆 มีแนวคิดหรือรูปแบบในการทำงานที่เป็นจริงได้ 4 ประการคือ

1. รูปแบบ I’m o.k. You’re o.k. – ฉันเก่ง ฉันสามารถ ฉันดี คนอื่นๆก็เก่ง มีความสามารถ และดีเช่นเดียวกัน
2. รูปแบบ I’m o.k. You’re not o.k. – ฉันเก่ง ฉันสามารถ ฉันดี คนอื่นไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ
3. รูปแบบ I’m not o.k. You’re not o.k. – ไม่มีใครทำงานดีเลยในหน่วยงาน ทั้งฉันและเพื่อนไม่ได้เรื่องเหมือนกัน
4. รูปแบบ I’m not o.k. You’re o.k. – ฉันเก่งน้อยกว่าคนอื่นๆ ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อนๆ เก่งและดีกว่าฉันเสมอ
ปกติคนทุกคนจะต้องการปกปิดปมด้อย แต่ต้องการจะเปิดเผยปมเด่น ของตนเอง แต่อย่าใช้รูปแบบ I’m o.k. You’re not o.k. – ฉันเก่ง ฉันสามารถ ฉันดี คนอื่นไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ มากๆเข้ามันจะติดเป็นนิสัย เพื่อนๆ จะเกลียดและไม่ชอบเอาได้
อีกด้านหากเราเป็นประเภทรูปแบบ I’m not o.k. You’re not o.k. – ไม่มีใครทำงานดีเลยในหน่วยงาน ทั้งฉันและเพื่อนไม่ได้เรื่องเหมือนกัน หน่วยงานก็จะไม่สามารถพัฒนาไปได้
หรือหากเป็นรูปแบบ I’m not o.k. You’re o.k. – ฉันเก่งน้อยกว่าคนอื่นๆ ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อนๆ เก่งและดีกว่าฉันเสมอ อันนี้ก็ไม่ดีอีกเพราะเราต้องคอยให้เพื่อนร่วมงานช่วยเหลือเกื้อกูลตลอดเวลา เพื่อนก็อาจไม่ชอบใจขึ้นมาได้ บางคนอาจชอบที่สามารถแสดงออกว่าเก่งกว่าเพื่อนร่วมงาน เลยอาจจะกลายเป็นนิสัยชอบดูถูกคนอื่นไปได้ติดตัวไป
😮 ดังนั้นเราจึงต้อง การสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน และการสนับสนุนชื่นชมเพื่อนร่วมงาน
1. ให้คำแนะนำ
2. พูดชม
3. รู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จของเพื่อน
4. ช่วยเหลือ
5. ยินดีเมื่อพื่อนร่วมงานก้าวหน้า
6. แสดงกิริยาชื่นชม เช่น ยิ้ม ปรบมือ
7. รู้สึกเสียใจกับทีมงานเมื่องานล้มเหลว
8. มีส่วนร่วมรับผิดชอบการทำงานของทีมงาน
9. พูดถึงเพื่อนในเชิงบวกกับคนอื่นๆ
10. พูดให้กำลังใจ
😀 เมื่อเราเห็นพฤติกรรมดีๆหรือการทำงานที่มีประสิทธิภาพของอีกฝ่ายและอยากให้ เขาทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆ เราก็จะต้องให้แรงเสริมทางบวก ด้วยการชมเชย (การชมเชย เป็นการเสริมแรงบวกที่เป็นนามธรรม)
คำชมเชยที่จะใช้เป็นแรงเสริมทางบวกที่ได้ผลมากที่สุด ควรจะต้องมีองค์ประกอบครบสามด้าน คือ 1. คำชมเชย 2. พฤติกรรมที่เราเห็นว่าดีและอยากให้เกิดมากขึ้น 3. ผลกระทบทางบวกที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมนั้น และถ้าประกอบด้วยอวัจนภาษาที่ประกอบคำชมเชยก็จะยิ่งดี
😆 คำชมเชยควรจะต้องมีรอยยิ้มที่จริงใจ การมองหน้าสบตาอีกฝ่าย และที่สำคัญมากคือ จะต้องไม่มีคำพูดประชดประชันเหน็บแนม ด้วยใบหน้าที่เป็นมิตรและจริงใจ ขณะที่ท่านชมเชยผู้ใด ท่านไม่ควรจะทำหน้าดุ รังเกียจ หรือพูดจาเฉื่อยชา ไม่สนใจผู้นั้น เพราะสายตาของท่านและอากัปกิริยาของท่านจะเป็นหน้าต่างของหัวใจของท่าน ผู้ได้รับคำชมเชยเขาจะแปลความหมายได้ง่ายๆว่า ท่านไม่จริงใจที่พูดชมเชยเขา
ท่านควรที่จะมองสบตาเขาอย่างเป็นมิตร ฉายแววปลาบปลื้มใจสุขใจ ที่ได้กล่าวคำชมเชยเขาออกมา
แต่แรงเสริมทางบวกด้วยการชมเชยในบางครั้งก็ทำให้พฤติกรรมที่ไม่ดีเกิดมากขึ้น หากเราให้แรงเสริมทางบวกอย่างไม่เหมาะสมเข้าไปในพฤติกรรมที่ไม่ดี ยกตัวอย่าง เช่น ชมเพื่อนคนนี้ แต่เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าเพื่อนคนนั้นไม่เห็นเหมือนเธอเลย หรือพูดชมว่า คนนี้เก่งกว่าคนนั้น ที่จริงเราต้อง พูดถึงเพื่อนในเชิงบวกกับคนอื่นๆ ด้วย มิฉะนั้นคนที่ถูกชมก็จะเหลิง หรือคิดว่าตนเองเก่งอยู่คนเดียว
การชมเชยนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การชมเชยอย่างจริงใจ เป็นการชมเชยในการกระทำที่ควรได้รับการชมเชยจริงๆ อย่าชมเพียงเพราะต้องชม ไม่มีความจริงใจที่จะชมเชย ดังนั้นจงชมจากส่วนลึกของหัวใจ ที่คุณคิดว่าเขาทำได้ดีจริงๆ และ การชมเชยทันทีเมื่อทำดี อย่าปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไปนาน เพราะจะลืมในสิ่งที่ได้ทำไป
จงชมเชยในที่สาธารณะ แน่นอนว่า การติติงเป็นสิ่งที่ควรทำในที่รโหฐาน ส่วนการชมเชยควรทำในที่สาธารณะ ให้คนอื่นได้รับรู้ถึงสิ่งดีๆที่เขาได้ทำ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับผู้อื่นนำไปปฏิบัติตาม
จงระบุให้ชัดเจนว่าอะไรเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดี บ่อยครั้ง เรามักจะได้ยินคำชมเชยแบบกว้าง ๆ เช่น ดีมาก ใช้ได้ หรือ Good Job, Excellent เป็นต้น คำชมเชยเหล่านี้กว้างเกินไป คนฟังไม่รู้ว่าพูดถึงเรื่องอะไร การชมที่ดีควรระบุให้ชัดเจนว่าชมเชยเรื่องอะไร
อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องคำนึงถึงเวลาชมเชย คือการคิดถึงคนที่ได้รับคำชม โดยมากคนไทยเป็นคนขี้อาย การชมเชยในสาธารณะที่มีคนจำนวนมาก อาจจะทำให้เขารู้สึกอายและประหม่าได้ โดยเฉพาะกับคนที่ขี้อายมากๆแล้วอาจต้องชมเชยกันภายในหน่วยงานหรือในกลุ่ม ย่อย ๆ แทน ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงบุคคลแต่ละคนโดยดูตามความเหมาะสมด้วย
สุดท้ายคือเรื่องของคำชมที่พอดีกับความสำเร็จ คำชมที่มากจนเกินไปอาจจะทำให้คนที่ได้รับคำชมรู้สึกถึงความไม่จริงใจของคน พูด ในขณะที่ผู้ฟังคนอื่นก็อาจรู้สึกหมั่นไส้คนที่ได้รับคำชม ดังนั้นจงชมแต่พองาม โดยมองจากผลงานที่ออกมา เช่นถ้ามีผลกระทบกับคนจำนวนไม่มากนัก อาจจะชมกันเองภายในหมู่คนทำงานด้วยกัน แต่ถ้าผลงานที่ออกมาเป็นสิ่งที่มีผลกระทบเป็นวงกว้าง อาจต้องชมหรือประกาศให้คนหมู่มากได้รับทราบ
ปริมาณการชมเชยต้องสอดคล้องกับความดีงามที่ทำไป ถ้าหากพนักงานคนใด ได้ทำสิ่งที่ดีเท่ากับเป้าหมายหรือมาตรฐานทั่วไป เช่น ส่งงานครบถ้วนตามเวลาที่มอบหมาย หัวหน้างานก็อาจจะพูดขอบคุณพนักงานผู้นั้นในที่ประชุมของแผนก
แต่ ถ้าหากพนักงานคนใด ได้ทำสิ่งที่ดีมากกว่าเป้าหมายอย่างมาก หัวหน้างานก็ควรจะรายงานเป็นลายลักษณ์ขึ้นไปให้ผู้บริหารทราบด้วย แล้วแจ้งให้ที่ประชุมของแผนกรับทราบว่า ได้รายงานเป็นบันทึกถึงผู้บริหารรับทราบแล้ว
🙄 การชมเชยกับการเยินยอต่างกัน
การเยินยอ คือ การพูดยกย่องเกินไป เมื่อบางคนทำบางสิ่งได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่พูดเยินยอว่าดีว่าเก่งอย่างกับว่าเขาทำได้เท่ากับมาตรฐาน หรือเขาทำบางสิ่งได้เท่ากับมาตรฐาน แต่พูดเยินยอราวกับว่าเขาทำได้เกินกว่ามาตรฐานอย่างมาก
 การเยินยอ เป็นการพูดแบบไม่จริงใจ อาจจะนำไปใช้ได้กับบางคนและบางกาลเทศะเท่านั้น ไม่ควรจะนำไปใช้พร่ำเพรื่อกับทุกคนและทุกเวลา เพราะบางคนที่เขามีสติ และมีวิจารณญาณ เขาจะรู้ว่าการพูดเยินยอนั้นเป็นการพูดจาแบบที่ไม่จริงใจ เป็นการพูดจาโกหกชนิดหนึ่ง
สุดท้าย ก็ต้องบอกว่าชอบข้อคิดนี้ที่มาจากรายการอ้างอิงที่อ่านประกอบมา เลยเอามาเป็นข้อคิดตอนจบ

ต่อไปหากท่านอยากจะให้คนอื่นเขาชมเชยท่านอย่างไร
“จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เช่นเดียวที่ท่านต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตัวท่าน” 🙄

รายการอ้างอิง
บทเรียนวิชา ความเชื่อมั่นในตนเอง จาก http://ocsc.chulaonline.net/main/MainAcceptNew.asp
https://www.facebook.com/notes/เข็นเด็กขึ้นภูเขา/พลังจากคำชมเชย-และการสร้างแรงเสริมทางบวกอย่างเหมาะสม/470228933016298
http://orchidslingshot.com/forum/index.php?topic=38.0
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=yyswim&month=07-2005&date=04&group=1&gblog=36
 
 
 

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร