คุณค่าในเหรียญกษาปณ์ของไทย
ช่วงนี้ได้รับหนังสือเรื่อง “84 กษาปณ์ แห่งองค์ราชัน” เลยทำให้นึกถึงตอนเด็กๆ จำได้ว่า พ่อชอบสะสมเหรียญกษาปณ์ ประเภทเหรียญสตางค์ ห้าสิบสตาค์ ยี่สิบห้าสตางค์ หนึ่งบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสิบ แปลกๆ ที่จะผลิตในโอกาสและเทศกาลต่างๆ เมื่อก่อนจะไม่มีการขายหรือแลกเปลี่ยนกันมากมายส่วนใหญ่ก็จะมีในกรุงเทพฯ ไม่หลากหลายเหมือนในปัจจุบัน จะอาศัยเวลาไปซื้อของแล้วพ่อค้าแม่ค้าทอนเหรียญมาให้ก็จะเก็บไว้ พอโตขึ้นเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯไปเจอแหล่งแลกเหรียญเข้า ก็มักจะไปหามาให้พ่อเป็นประจำ จนเดี๋ยวนี้แม้พ่อจะไม่อยู่แล้ว แต่ก็ยังติดเป็นนิสัยคือ เวลาแม่ค้าทอนเหรียญมาก็ดูว่า เป็นเหรียญแปลกหรือไม่ ถ้าใช่ก็ยังชอบเก็บอยู่ หรือหากมีโอกาสก็จะแลกซื้อเก็บไว้ ลูกๆ กับคุณสามีหากเจอก็จะเก็บไว้ให้
ถ้ามีเวลาว่างชอบเอาออกมานั่งดู จะพบว่า เหรียญที่ออกในโอกาสต่างๆ นั้น ส่วนที่เป็นด้านหัวนั้นจะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์รัชกาลต่างๆ พระบรมฉายาลักษณ์ของพระราชินี พระบรมฉายาลักษณ์ของเจ้าฟ้าชาย เจ้าฟ้าหญิง แล้วแต่โอกาสและเทศกาลนั้น ส่วนด้านหลังหรือด้านก้อย ก็จะเป็นรูปแตกต่างกันไป เช่น สถานที่สำคัญ อนุสาวรีย์ หรือตราสัญญลักษณ์ต่างๆ
จากหนังสือ “84 กษาปณ์ แห่งองค์ราชัน” ทำให้รู้ว่าตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์มานั้น ได้มีการออกเหรียญกษาปณ์ในโอกาสพิเศษต่างๆ 84 ครั้ง จำนวน 84 เหรียญ ซึ่งมีสารคดีประกอบติดตามได้จาก https://www.facebook.com/pages/84กษาปณ์ แห่งองค์ราชัน
เช่นตัวอย่าง เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในวโรกาสที่องค์การ F.A.O. ถวายพระเกียรติอัญเชิญ พระบรมฉายาทิสลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตต์พระบรมราชินีราถ ลงบนเหรียญ CERES (https://www.youtube.com/watch?v=TrA6P9f1xt0#t=15) เป็นเหรียญที่ได้มาเมื่อตอนไปทำงานที่กรุงเทพฯ 😛
หรือเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในโอกาสที่พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติทรงเจริญพระชันษา 1 ปี ก็ได้เมื่องานทับแก้วบุ๊คแฟร์ครั้งที่ 8 ที่ผ่านมานี่เอง 😛
ซึ่งหากมองไปที่เหรียญกษาปณ์ทั่วไปที่ใช้แลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้ากันตามท้องตลาดก็จะพบว่า ลวดลายที่ปรากฏอยู่บนเหรียญนั้นจะเป็นลวดลายที่แสดงถึงสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อแสดงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มีคำว่า ประเทศไทย เพื่อแสดงถึงสถาบันชาติ และด้านหลังเป็นรูปวัดต่างๆ ในประเทศไทย เพื่อแสดงถึงสถาบันศาสนา (http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=karnoi&date=28-03-2013&group=60&gblog=241)
โดยปกติจะพบว่า ด้านหัวหรือด้านหน้านั้นจะเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แต่ส่วนที่แตกต่างคือ ส่วนก้อยหรือด้านหลัง ที่แตกต่างกันไปคือ รูปวัด ที่ปรากฎอยู่ในเหรียญ
โดยลวดลายวัดบนเหรียญกษาปณ์ชนิดต่างๆ ที่ใช้กันตั้งแต่อดีตจนปัจจบันมีดังนี้
เหรียญ 10 บาท เป็นรูป “พระปรางค์ วัดอรุณราชวราราม” ที่ถือว่าเป็นมุมถ่ายภาพที่คุ้นเคยกันดี โดยวัดอรุณฯ เป็นวัดโบราณ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา สำหรับองค์พระปรางค์นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดฯ ให้สร้างขึ้นแทนพระปรางค์ที่มีอยู่เดิม จนมาแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เนื่องจากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระปรางค์ และให้มีการจัดงานฉลองขึ้น โดยทรงสถาปนาวัดอรุณฯ ขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกอันดับหนึ่ง และเสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐินโดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเป็นครั้งแรก
เหรียญ 5 บาท เป็นรูป “พระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” ที่นับว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยมีเอกลักษณ์ตรงที่ใช้วัสดุแบบตะวันตก มาสร้างสถาปัตยกรรมแบบไทย จนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบของศิลปะไทย สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์จากประเทศอิตาลี โดยสร้างเป็นทรงจตุรมุข หลังคาซ้อน 4 ชั้น
บริเวณหน้าต่างของพระอุโบสถมีการใช้กระจกและมีการเขียนสีลงบนกระจก ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบไทยอย่างลงตัว ภายในประดิษฐานพระพุทธชินราช (จำลอง) เป็นพระประธาน อยู่ภายใต้รัตนบัลลังก์บรรจุพระสรีรางคารของรัชกาลที่ 5
เหรียญ 2 บาท เป็นรูป “พระบรมบรรพต วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร” หรือที่รู้จักกันดีในนาม “ภูเขาทอง” สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แต่มาแล้วเสร็จลงในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีรูปแบบเป็นพระเจดีย์แบบกลม (ทรงลังกา) บนยอดเขา เพื่อให้เป็นเจดีย์ที่สูงใหญ่ของพระนคร
ในภายหลังมีการบูรณะปฏิสังขรณ์เมื่อปี พ.ศ.2509 โดยบุกระเบื้องโมเสกสีทองที่องค์พระเจดีย์ พร้อมกับมีการสร้างพระเจดีย์องค์เล็กๆ รายรอบพระเจดีย์องค์ใหญ่ทั้ง 4 ทิศ และภายในพระเจดีย์องค์ใหญ่ยังบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สำหรับงานประเพณีที่สำคัญของวัดสระเกศฯ ก็คือ “งานวัดภูเขาทอง” ที่จะจัดขึ้นในช่วงวันลอยกระทงของทุกปี โดยจะมีการห่มผ้าแดง งานสมโภชน์องค์พระบรมสารีริกธาตุ และเทศกาลงานวัดในคราวเดียวกัน
เหรียญ 1 บาท เป็นรูป “พระศรีรัตนเจดีย์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม” หรือพระศรีรัตนเจดีย์ ภายในวัดพระแก้ว ตั้งอยู่บนฐานไพที ทางทิศตะวันตก รูปแบบจำลองมาจากเจดีย์ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ ณ พระราชวังกรุงศรีอยุธยา มีความสูงประมาณ 40 เมตร ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากลังกา
เหรียญ 50 สตางค์ เป็นรูป “พระบรมธาตุ วัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่และดินแดนล้านนาของไทย และถือเป็นหนึ่งในเจ็ดของพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ในแถบภาคเหนือตอนบนและเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีมะแม
พระบรมธาตุดอยสุเทพ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมมิกราช เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ในภายหลังได้มีการบูรณะ และสร้างฉัตรไว้ทั้งสี่มุมของพระบรมธาตุ อันหมายถึงสัญลักษณ์ของความร่มเย็นที่ได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธศาสนาที่แผ่ไปในทั้ง 4 ทิศ
เหรียญ 25 สตางค์ เป็นรูป “พระบรมธาตุเจดีย์ วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช” พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นโบราณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชและชาวพุทธทั่วไป ตัวเจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา มีความโดดเด่นอยู่ที่ยอดเจดีย์ซึ่งหุ้มด้วยทองคำแท้
พิธีที่นิยมปฏิบัติกันในช่วงวันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชาของทุกปีก็คือ การแห่ผ้าขึ้นธาตุ ซึ่งจัดเป็นงานบุญประจำปีที่มีผู้คนทั่วทุกสารทิศมาร่วมสร้างกุศลกัน โดยมีความเชื่อว่า หากใครได้นำผ้าขึ้นธาตุแล้วนั้น ไม่ว่าจะขอพรเรื่องใดก็จะสำเร็จได้ดังหวัง และความมหัศจรรย์ที่เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ด้วยก็คือ องค์พระบรมธาตุจะไม่มีเงาทอดลงพื้นไม่ว่าแสงอาทิตย์จะส่องกระทบไปทางใด
เหรียญ 10 สตางค์ เป็นรูป “พระเจดีย์ วัดพระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร” เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูนรูปทรงสี่เหลี่ยม มีซุ้มประตูทั้ง 4 ด้าน ส่วนที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นใหม่ครอบองค์เดิมไว้ โดยทางด้านตะวันออกของเจดีย์ จะมีประตูทางเข้าสู่สถูปองค์เก่าที่อยู่ภายใน
เหรียญ 5 สตางค์ เป็นรูป “องค์พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม” ที่นับว่าเป็นปูชนียสถานที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยมีการสันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อครั้งที่ได้ส่งสมณทูตเข้ามาเผยแผ่พระศาสนา
สำหรับการบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์นั้น เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ขณะที่ยังทรงผนวช ได้เสด็จธุดงค์มานมัสการ ภายหลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว จึงโปรดให้ก่อพระเจดีย์ใหม่หุ้มองค์เดิมไว้ พร้อมสร้างวิหารคตและระเบียงโดยรอบ และมาแล้วเสร็จเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 โดยในรัชกาลต่อๆ มา ก็ยังมีการบูรณะในบริเวณต่างๆ เรื่อยมา
เหรียญ 1 สตางค์ เป็นรูป “พระธาตุ วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน” อีกหนึ่งวัดสำคัญของล้านนา ภายในวัดมีการบรรจุพระบรมอัฐิของพระพุทธเจ้า (พระเกศาธาตุ) ซึ่งเดิมนั้นพื้นที่บริเวณนี้เป็นพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์ราชวงศ์จามเทวี เมื่อได้เกิดนิมิตว่าบริเวณนี้มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ จึงมีการสร้างพระเจดีย์ทรงปราสาทครอบไว้ และได้ถวายเป็นพระอารามในภายหลัง พระธาตุหริภุญไชย เป็นหนึ่งในเจ็ดของพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ในแถบภาคเหนือตอนบนเช่นกัน และเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีระกา (ไก่)
ปล. แค่เหรียญธรรมดาข้างต้นก็ยังมีบ้างไม่มีบ้าง แต่ไม่เป็นไรเพราะการสะสมเหรียญของเราทำเมื่อมีโอกาส ไม่ได้ต้องคอยหาคอยซื้อ ทำเมื่อมีโอกาส 🙄
รายการอ้างอิง :
http://www.treasury.go.th/main.php?filename=index
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000036913
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=karnoi&date=28-03-2013&group=60&gblog=241
2 thoughts on “คุณค่าในเหรียญกษาปณ์ของไทย”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
ตะก่อนพี่สะสมเหรีญเหมือนกัน แต่ตอนนี้ลด ลด เลิก ไปสะสมอย่างอื่นแทน เหรียญที่ชอบมากที่สุดคือเหรียญที่ผลิตตอนพระองค์ภาฯ ประสูติ พี่ว่าน่ารักดี
หลังเกษียณกะว่า จะตรวจสอบเหรียญและพระที่สะสมไว้ พอดีเลยได้ความรู้เพิ่มขึ้น