ผจญภัยในป่าดงพงพีกับนักประพันธ์ชั้นครู
“การอ่านทำให้เป็นคนโดยสมบูรณ์” ฟรานซิส เบคอน ได้นิยามประโยคนี้ไว้ให้คนเราได้เห็นถึงความสำคัญของเรียนรู้จากการอ่านหนังสือ หนังสือทุกประเภทล้วนให้ความรู้ให้สาระให้ความบันเทิงและให้จินตนาการแก่ผู้อ่านทั้งสิ้น และด้วยความสามารถของผู้แต่งหรือนักประพันธ์แต่ละคนที่มีแนวถนัดเป็นของตนเอง ผสานด้วยศิลปะในทางวรรณศิลป์ที่สามารถทำให้ผู้อ่านหนังสือมีความรู้สึกโลดแล่นไปกับตัวอักษรตลอดเรื่องที่อ่าน โดยเฉพาะ หนังสือนวนิยาย ซึ่งครั้งนี้ดิฉันเจาะจงถึงนวนิยายแนวผจญภัยในป่าดงพงพีที่เนื้อเรื่องสนุกชวนติดตาม ทั้งตื่นเต้น เร้าใจและต้องคอยลุ้นตลอดเวลาที่อ่าน ชนิดวางแทบไม่ลงที่เดียว (สำหรับผู้ที่ชื่นชอบแนวนี้)
ก่อนจะกล่าวถึงนวนิยายแนวนี้ของไทยเรา จะขอกล่าวถึงนักเขียนของต่างประเทศสักเล็กน้อยเพราะนักเขียนท่านนี้นั้นเป็นแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลต่อนักเขียนนวนิยายแนวผจญภัยในพงไพรของไทยในด้านโครงเรื่องอย่างสำคัญคือ เซอร์เฮ็นรี่ ไรเดอร์ แฮกการ์ด (Sir Henry Rider Haggard) เจ้าของผลงานอันลือลั่นของโลกตะวันตก คือเรื่อง King Solomon’s Mines ที่ถูกแปลมาเป็นภาษาไทยในชื่อเรื่อง สมบัติพระศุลี หรือ ขุมทรัพย์กษัตริย์โซโลมอน ซึ่งเป็นเรื่องราวการผจญภัยของตัวละครเอกของเรื่องที่เดินทางไปในดินแดนอันลี้ลับ ต้องเสี่ยงอันตรายต่างๆนานา งานเขียนของแฮกการ์ดมีลักษณะเฉพาะในการสร้างตัวละครให้มีความกล้าหาญ แข็งแรง มีวิธีการดำเนินเรื่องชวนให้ติดตามโดยสอดแทรกเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาภายในโครงเรื่องทำให้ไม่น่าเบื่อ (เรื่องนี้ที่หอสมุดของเรามีให้บริการค่ะ รวมถึงเรื่องอื่นๆของนักเขียนท่านนี้ด้วยสนุกน่าติดตามอ่านทุกเรื่อง)
มาถึงนวนิยายแนวผจญภัยประเภทป่่าดงพงไพรของไทยเราบ้าง ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในหมู่นักอ่านแนวนี้ที่ลือลั่นในฝีมือการประพันธ์ชั้นครูก็มีอยู่สองท่าน ท่านแรกคือ น้อย อินทนนท์ หรือ “มาลัย ชูพินิจ” เจ้าของนวนิยายเรื่อง “ล่องไพร” เรื่องนี้ก่อนจะจัดพิมพ์มาเป็นหนังสือนวนิยายนั้น ท่านผู้ประพันธ์ ได้เขียนเป็นบทละครวิทยุมาก่อนในปี 2497 โดยออกอากาศทางสถานีวิทยุของบริษัทไทยโทรทัศน์(วิทยุ ททท.) และกลายเป็นละครที่โด่งดังผู้ฟังติดกันงอมแงมเลยทีเดียว จนในปี พ.ศ.2498 จึงได้จัดพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มหนังสือนวนิยาย เรื่องการเขียนแนวนี้นั้นท่านผู้ประพันธ์อาศัยประสบการณ์ส่วนตัวจากการเข้าไปใช้ชีวิตในป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งในยุคนั้นป่าไม้เมืองไทยยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่มากรวมทั้งสัตว์ป่านานาชนิดอีกมากมายหลายหลาก ผนวกกับการได้รับฟังเรื่องเล่าจากพรานป่าผู้ช่ำชอง จากผู้เฒ่าผู้แก่ที่เล่าเรื่องปรัมปราต่างๆแล้วผสมผสานกับจินตนาการ พาผู้อ่านทั้งหลายท่องไพรไปกับตัวละครพบเจอกับเหตุการณ์ลี้ลับ พิสดาร ชวนตื่นเต้น เร้าใจตลอดทั้งเรื่องโดยผ่านตัวละครเอก คือ ศํกดิ์ สุริยัน และเพื่อนสนิทที่ชื่อ ร.อ. เรือง ยุทธนา พร้อมพรานเฒ่าคู่ใจที่ชื่อ “ตาเกิ้น” ในเรื่องล่องไพรนี้มีเสน่ห์และสีสันจากตัวละครทั้งสามอย่างมากโดยเฉพาะ “ตาเกิ้น” ผู้อ่านจะได้รับอรรถรสจากถ้อยคำสำนวนที่เรียงร้อยเรื่องราวของท่านผู้ประพันธ์ชั้นครูท่านนี้อย่างมิรู้เบื่อทีเดียว เรื่องล่องไพร มีทั้งหมด 19 ตอนพิมพ์รวมชุดมีทั้งหมด 14 เล่ม นอกจากเรื่องนี้แล้วยังมีนวนิยายแนวเดียวกันนี้อีกสองเรื่องคือ “ลูกไพร” และ “ทุ่งโล่งและดงทึบ” (หอสมุดมีบริการเช่นกันค่ะ)
นักประพันธ์ท่านที่สอง คือ “พนมเทียน” หรือ “ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ” เจ้าผลงานนวนิยายอันลือลั่นสท้านบรรณพิภพคือเรื่อง “เพชรพระอุมา” พนมเทียนนั้นเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำปีพ.ศ. 2540 ในบรรดานักอ่านนิยายแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก “พนมเทียน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง “เพชรพระอุมา” ด้วยแล้ว หากใครยังไม่เคยได้อ่านขอแนะนำให้หามาอ่านแล้วท่านจะวางแทบไม่ลงเลยละกัน(นักอ่านนวนิยายอายุ 40-50 ปีขึ้นไปแทบทุกคนล้วนเคยได้ผ่านการอ่านเรื่องนี้กันมาแทบทั้งสิ้น) “เพชรพระอุมา” ถือเป็นนวนิยายที่ครองสถิติยาวที่สุดในประเเทศไทย เพราะมีถึง 48 เล่ม แบ่งเป็นสองภาค ภาคละ 6 ตอน ตอนละ 24 เล่ม ในการประพันธ์นวนิยายเรื่องนี้นั้น ท่านผู้ประพันธ์ได้แรงบันดาลใจในเนื้อเรื่องเพียงไม่กี่บรรทัดจากการอ่านเรื่อง King Solomon’s Mines ของแฮกการ์ดแล้วจดจำมาเป็นโครงเรื่อง นอกนั้นในรายละเอียดของเรื่องทั้งหมดมิมีส่วนไหนเหมือนกันเลยทั้งตัวละคร ฉาก สถานที่ พฤติกรรมต่างๆของตัวละครล้วนเกิดจากมันสมองที่รังสรรค์และถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรของท่านผู้ประพันธ์เองทั้งสิ้น “พนมเทียน” เริ่มเปิดตำนานแห่ง “เพชรพระอุมา” ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2507 มาจบบริบูรณ์ทั้งภาค 1 และภาค 2 ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2533 รวมระยะเวลาของการเขียนนวนิยายเรื่องนี้ยาวนานถึง 25 ปีเศษทีเดียว (เริ่มเขียนตอนอายุ 33 ปี เขียนจบตอนอายุ 59 ปี) ช่วงที่เริ่มเขียนเรื่องแล้วตีพิมพ์ขายเป็นเล่มพ็อคเก็ตบุ๊คติดต่อกันนั้น ผู้ที่ติดตามอ่านประจำต้องมาเข้าคิวรอซื้อกันถึงหน้าโรงพิมพ์เลยทีเดียว นับเป็นปรากฏการณ์ที่แทบจะไม่เคยมีมาก่อนในยุคนั้น พนมเทียนนั้นเคยเดินป่าและล่าสัตว์มาก่อนจึงเป็นประสบการณ์ตรงที่เขามีอยู่ มีความรู้เรื่องปืนเป็นอย่างดี รวมทั้งได้ฟังเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษและครูพรานทั้งหลาย จากนิทานข้างกองไฟในป่าของเหล่าพรานต่างๆบ้าง เหล่านี้คือวัตถุดิบชั้นเยี่ยม บวกกับจินตนาการอันบรรเจิด จึงร้อยเรียงเป็นเรื่องราวออกมาสู่สายตานักอ่านด้วยภาษาที่สวยงาม มากด้วยลีลาวรรณศิลป์ชั้นครู สำหรับตัวละครเอกของเรื่องนั้นก็คือ รพินทร์ ไพรวัลย์, แงซาย, ดาริน วราฤทธิ์ และ บุญคำ– พรานคู่บุญที่เป็นตัวชูรสและเป็นสีสันของเรื่อง แล้วยังมีตัวละครอื่นอีกหลากหลายคน “พนมเทียน” จัดเป็นราชานักเขียนนิยายแนวผจญภัยของไทยในยุคนี้ นอกจากนั้นยังมีผลงานนวนิยายของเขาอีกหลายเรื่องติดตามหาอ่านได้จากห้องสมุดของเรานี่แหละค่ะ (เฉพาะเรื่องเพชรพระอุมานั้นที่หอสมุดเรามีบริการหลากหลายปีพิมพ์ ตั้งแต่รุ่นปีแรกสุดคือปี 2510 จนถึงปีพิมพ์ล่าสุดคือปี 2547)
ที่มาของข้อมูล: หนังสืออินไซด์เพชรพระอุมา และ www.bloggang.com ของ รวี-ตาวัน
One thought on “ผจญภัยในป่าดงพงพีกับนักประพันธ์ชั้นครู”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
อยากให้คนรุ่นใหม่ gen Y ได้แสวงหามาหนังสืออ่าน จะได้อะไรๆมากมาย
ขอบคุณที่นำมาเสนอ