เรื่องของวันลา เคยพูดกันมาแล้วหลายๆครั้ง คราวนี้มาเจอบล็อกของคุณ Panida แสดงความคิดเห็นเอาไว้ อย่างนั้นขอแจมด้วยสักหน่อย เกณฑ์วัดข้อหนึ่งของKPI มีการให้คะแนนในจำนวนของวันลา ใครลามากจะได้คะแนนน้อย เพราะสรุปว่าวันที่มาทำงานต้องน้อยกว่าคนอื่น แต่จะคิดเฉพาะวันลาป่วยและลากิจ ส่วนวันลาพักผ่อนกลับไม่เอามาคิดคะแนนด้วย ทั้งๆที่วันที่พวกเราลา ไม่ว่าจะลาพักผ่อน ลากิจ ลาป่วย ก็คือวันที่พวกไม่ได้มาทำงานทั้งนั้น เพราะเหตุนี้จึงพบว่าบุคลากรของหอสมุดไม่ค่อยจะมีใครเจ็บป่วย ไม่มีใครมีกิจธุระ เห็นมีแต่วันลาพักผ่อนกันเป็นส่วนใหญ่ มีกิจธุระก็ลาพักผ่อน ป่วยก็ลาพักผ่อน เลยไม่รู้ว่าวันที่เราลาพักผ่อนจริงๆเราจะต้องไปทำอะไร สงสัยวันลาพักผ่อนคือวันที่ต้องนอนอยู่บ้านเฉยๆห้ามป่วย ห้ามทำกิจธุระ ถึงจะตรงกับความหมายจริงๆ
เป็นการบริหารจัดการเวลาของแต่ละคนขึ้นอยู่กับตนเอง จะลาประเภทใด การลาพักผ่อน หัวหน้ามีสิทธิที่จะไม่อนุญาต ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการทำงานของแต่ละบุคคล และหรือขณะนั้นหน่วยงานมีงานเร่งด่วนหรือมีงานคั่งค้างหรือไม่ วันลาป่วย ลากิจเป็นข้อตกลงขององค์กรที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อองค์กร เนื่องจากองค์กรเป็นหน่วยงานสนับสนุนวิชาการ เป็นหน่วยงานบริการทางวิชาการ จึงจำเป็นต้องมีคนทำงานอยู่ในองค์กรตลอดเวลา จุดบริการจะขาดคนไม่ได้ รอบที่ผ่านมาดิฉันได้วิเคราะห์จำนวนวันลาป่วย ลากิจของบุคลากรเฉพาะข้าราชการและพนักงาน จำนวนเต็ม 32 คนพบว่า ลาไม่เกิน 3.5 วันจำนวน 21คน (ร้อยละ 65.63) ลาระหว่าง 4-5 วันจำนวน 4 คน (ร้อยละ 12.50) ลาระหว่าง 5.5-6.5 วันจำนวน 5 คน (ร้อยละ 15.63) ลาระหว่าง 7-8 วันจำนวน 1 คน (ร้อยละ 3.12) และลามากกว่า 8 วันจำนวน 1 คน (ร้อยละ 3.12) KPIs หัวหน้าหอสมุดและหัวหน้าฝ่ายงาน มีการแจ้งและอธิบายเตือนเรื่องการลาตลอดมา และหากผู้ที่ไม่ประสงค์จะใช้ตัวชี้วัดตัวนี้ ก็ขอให้เสนอมาในรอบหน้า จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป ถือว่าเป็นข้อตกลงระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ขอรับการประเมิน การประเมินกระทำโดยคณะกรรมการที่ตั้งโดยสำนักหอสมุดกลาง และก็ได้ทำอย่างจริงจัง ตรวจสอบได้ นับตั้งแต่ครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยกำหนดให้ใช้ kpi…เฮ้อ
ในความเป็นจริงที่นู๋น้องลาป่วย ก็ไม่ได้ป่วยจริงไม่ใช่หรือพี่วี แถมไม่ได้ลากิจอีกต่างหาก แล้วมันต่างอะไรกับคนที่ป่วยหรือกิจ แต่ลาพักผ่อน มันก็ไม่ใช่ความจริงทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลมันก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเวลาอย่างที่หัวหน้าหอสมุดฯ ว่านั่นแหละ แล้วอีกอย่างตอนที่ไม่มีเรื่อง KPI เค้าก็ลากันอย่างนี้ไม่ใช่หรือ สรุปแล้วอย่างที่หัวหน้าหอสมุดฯ ว่านี่แหละ…ท่าจะเหมาะ คือมาทำข้อตกลงเป็นรายๆ ไป…เฮ้อ..ด้วยคน
แม๊ มีแต่คน เฮ้อ จึงไม่อยากเฮ้อตาม จึงขอแสดงความคิดเห็นดังนี้ 1. การสร้าง KPI ของพวกเราตั้งแต่ถือกำเนิดมานั้นทุกคนมีส่วนร่วมมาตลอด แต่ก้ออาจจะมีเสียงแย้งว่าไม่จริง หรือบอกว่ามีน้อย อันนั้นเป็นสิ่งที่วัดยาก เพราะถาม หน.ทั้งหลายทุกยุคสมัยต่างยืนยันว่าแจ้งแล้ว ประชุมแล้ว ฝ่ายที่ตัวเองรับผิดชอบยังพอมีร่องรอยเป็นกระดาษตั้งแต่เป็นลายมือ ส่วนในภาพรวมของหอสมุดฯ ได้พยายามจัดเรื่องนี้เข้าไปแทรกอยู่ในการสัมมนาประจำปีอยู่หลายครั้งรวมทั้งมีการชี้แจงผู้บริหารในภาพรวม 2. KPI ล่าสุดที่ใช้เกณฑ์การประเมินในครั้งนี้ หน.หอสมุดฯ กำหนดให้มีการทบทวนและกำหนดให้กลับไปประชุมกันในฝ่ายงาน และมีการบอกกล่าวกันว่ามีผู้เสนอให้ตัด KPI ในข้อนี้ออก ในฐานะที่ตัวเองเป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ฯ ได้นำเรื่องนี้มาให้บุคลากรในฝ่ายฯ และพิจารณากันว่าจะให้ตัดหรือไม่ ทุกคนลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่” ด้วยเหตุผลว่าถือเป็นคะแนนช่วยและจะพยายามควบคุมตัวเองได้ให้อยู่ในเกณฑ์กลาง เนื่องจากงานหลักที่ทำอยู่นั้นร่อแร่ จำได้ว่าให้บอกเหตุผลเป็นรายบุคคล และได้นำผลนี้ไปนำเสนอที่ที่ประชุมเพื่อพิจารณาปรับ/เปลี่ยน/สร้าง KPI ในครั้งนี้ ส่วนฝ่ายอื่นๆ เท่าที่จำได้คือบอกว่ามีบ้างที่ขอให้ยกเลิกแต่จำนวนไม่มาก ดังนั้นการยกเลิก KPI ข้อนี้จึงตกไป 3. ในการประเมินที่ผ่านมานี้ หน.ฝ่ายบางท่านได้นำเสนอว่ากรณีที่เจ็บป่วยโดยต้องเข้าโรงพยาบาลจะกำหนดกันอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ได้นำมาพิจารณาและได้คำตอบในระดับหนึ่ง แต่ยังคงต้องรอ KPI ที่ผู้บริหารสูงสุดของหน่วนงานเรา จะถ่ายทอดลงมายังหอสมุดฯ ว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร และพวกเราจะไปมีส่วนร่วมและกำหนดค่าน้ำหนักอย่างไร ซึ่งจะเริ่มในเดือนเมษายนนี้ 4. ในระหว่างที่รอ (คือในปัจจุบัน) คุยกันว่าขอให้ทุกคนรักษาและให้ยึด KPI ที่ใช้อยู่นี้เป็นคัมภีร์หลักในการทำงาน เพราะตามประสบการณ์คือทุกอย่างจะไม่ต่างจากจากเดิม หากเรามั่นคงในงานไม่ว่าตัวชี้วัดจะเป็นอย่างไร อย่างมากก็แค่ทำเพิ่ม อย่างน้อยคือไม่ต้องทำ 5. KPI เป็นสิ่งที่มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาออกไปได้ เวลาทำงานจริง หน.ฝ่ายมักให้เจ้าตัวเสนอว่า KPI ที่ต้องการให้วัดคืออะไร บางคนทำและไม่ทำ ซึ่งมีท่าทีหลายแบบ แต่เมื่อมาถึงที่ประชุมแล้ว ที่ประชุมต้องพิจารณากันอย่างเป็น “กลาง” และมองในภาพรวม คำนึงถึงเรืองต่างๆ มากมาย บางคนเสนอตัวเลขมาสูงลิ่ว ต้องจับลดลง หรือตำ แก้เป้นสูง ซึ่งก็ต้องตอบคำถามอีกว่าทำไมและอย่างไร และในการพิจารณาครั้งที่ผ่านมาทุกฝ่ายก็มีข้อเสนอเข้าไปปรับเหมือนๆ กัน หากมีข้อเสนอขึ้นมา ควรต้องเสนอให้เต็มรูปคือ ตัด/ปรับไป อะไรคือสิ่งใหม่ อะไรคือเหตุผล แล้วจะไปตอบคำตอบให้หน่วยงานอย่างไร แล้วเกณฑ์ 1-5 หน้าตาเป็นอย่างไร ต้องเสนอมาเป็นตัวอย่างก่อน เพื่อจะได้พิจารณาและเข้าใจในควมคิดที่ประสงค์จะนำเสนอ และพร้อมที่จะชี้แจงและยอมรับ 6. สำหรับการลา หากเคยได้ยินคำว่า “เบี้ยขยัน” จากฟากเอกชน คิดว่าน่าจะเข้าใจ คิดออกแค่นี้ค่ะ
ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคน พี่ตาว่า การลาป่วยเป็นเรื่องของตนเองที่จะต้องรับผิดชอบตนเอง ว่าเราควรจะต้องปรับตัวของเราเอง และต้องยอมรับกับการลาป่วยของเรา ซึ่งต้องมาเกี่ยวข้องกับ KPI ซึ่งทุกคนก็ยอมรับแล้วก่อนที่จะเซ็นสัญญาใน KPI หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องระมัดระวังการลาทุกประเภทของตนเอง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพื่อที่จะช่วยให้การประเมินผลการปฏิบัติงานในแต่ละ 6 เดือนของเรามีคุณภาพ ดีขึ้น (พูดง่าย ๆ ว่า ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น จากมากหรือน้อยก็อยู่ที่ผลการปฏิบัติงานของเรา) แต่สำหรับการลาพักผ่อนนั้น พี่ตาว่าที่ไม่นำมาเกี่ยวข้อง KPIก็จริงอยู่ แต่การลาพักผ่อนของเราแต่ละครั้งนั้น ผู้บังคับบัญชาอนุญาต ตามลำดับ หัวหน้างานอนุญาต รับทราบ เพื่อนร่วมงานที่ทำงานแทนกันได้รับทราบทุกครั้ง ซึ่งแต่ละคนในฝ่าย/งานของตนเองก็รับทราบและมอบหมายงานให้ทำงานแทนกันได้ เพราะรัฐบาลก็ให้สิทธิการลาเพื่อเป็นสวัสดิการกับทุกคนอยู่แล้ว ปีละ 10 วัน ให้สะสมได้ไม่เกิน 30 วัน นั้นเป็นสิทธิ์ที่ทุกคนจะสงวนสิทธิ์ของตนเอง หรือจะใช้สิทธิ์นั้นให้หมดไปในแต่ละปีก็ได้ จะลาไปทำอะไร ธุระอะไร หรือทำกิจอันใดนั้น มันเป็นสิทธิ์ของทุกคน ไม่ต้องไปคาดเดาว่าเขาจะไปทำอะไร ที่ไหน หรือจะอยู่กับบ้านก็แล้วแต่ แต่สำหรับลากิจ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ พี่ตาจะไม่ลา เพราะเขาว่ามันมีส่วนไปเกี่ยวข้องกับกับตอนที่เราออกจากราชการ อย่างไร อันนี้จะต้องไปศึกษา และสอบถามผู้รู้อีกทีหนึ่ง
จะพูดถึงลาป่วย ลากิจ ลาพักผ่อน ที่มากำหนดใน kpi เป็นตัวบีบพวกที่ใช้แรงงานไม่ให้ออกนอกลู่ นอกทาง (วัว ควาย )อย่างเราๆที่เป็นสัตว์ที่ใช้แรงงานขับเคลื่อนองค์กรให้ไปได้ดังทุกวันนี้ ยิ่งมันพอใจตัวไหนก็จะดูแลเป็นพิเศษ ท่าไม่พอใจตัวไหนก็พยามบีบให้อยู่ในคอกแคบๆ ก็นับเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกับช้างที่ตัวใหญ่ที่มีปัญหาในการดำเนินชีวิตทุกวันนี้ทั้งๆ อยู่กับบ้านตัวเองก็ยังโดนตามล่า ตามค่ายังกับเป็นโจร เป็นฆาตรกรไม่มีสิทธิเรียกร้องความเป็นธรรมกับใครผู้ตัดสินก็คือคนหรือมนุษย์ที่อ้างว่ามีคุณธรรมสูง ที่อ้างว่าช้างเป็นผู้บุกรุก ทำร้าย ทำลายให้เกิดความเสียหายบ้าง ผิดตลอดโดยไม่สามารถเรียกร้องกับใครได้ ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายไล่ล่า อีกฝ่ายหนึ่งก็อนุรักษ์ ไม่รุ็จะเชื่อใครดี ปัญหามันอยู่ที่คนนี่เองคือเรื่องอำนาจของคน ที่มีแต่ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี ที่เป็นปมสร้างความขัดแย้งในสังคม จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มือใครยาวสาวได้ก็สาวเอา หวังที่จะมี จะได้ จะเป็น อย่าหวังเลยที่จะได้รับการหยิบยื่นสิ่งดีๆให้กับคนชั้นล่าง แต่เราก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าถ้าเราไม่อยากอยู่ตรงนี้ต้องพยายามถีบไสตัวเองให้ได้ถ้ากล้าที่จะเป็น ถ้าเป็นระบบราชการ พอแล้วคิดไปไกล มาพูดถึงวันลาบ้าง ไอลาป่วย ลากิจ พักผ่อน หรือจะไปราชการ เราสำหรับผู้ปฏิบัติแบบเราๆต้องรับสภาพ ไม้สามารถหลีกเลี่ยงได้ หรับไปราชการที่นั่นที่นี่นั้นเราไม่สามารถตรวมสอบคนอีกพวกอีกกลุ่มหนึ่งได้เลย เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ใช้ไปทำอะไรบ้าง บางครั้งบางคราวพวกเดียวกันยังไม่รู้เลยว่าไปไหน จริงไหม และขอบเขตมันอยู่ตรงไหนก็ไม่สามารถตอบได้เหมือนกัน มาถึงเรื่อง kpi ทุกวันนี้ได้ตั้งคำถามตัวเองว่ากูโง่หรือบ้ากันแน่วะ ทำงานจะต้องทำอย่างงั้นอย่างงี้และจะได้เท่านั้นเท่านี้ เหมือนกับต้องมานั่งเรียนหนังสือใหม่ยังงั้น เวลาทำงานก็ต้องนั่งอึ้งว่ากูจะได้ เคพีไอ หรือเปล่าเพราะไองานที่ตั้งใจว่าจะทำหรือวางแผนไว้มันก็คงจะหยิบมาสร้างสรรค์ได้ เพราะถ้าสภาพสังคมองค์กรเป็นยังงี้ต่อไป คนทำงวานก็คงเป็นอัมพาตกันหมดไม่มีใครอยากคิดอะไร ทำตามคำสั่งของเคพีไอ อีกอย่างหนึ่งเราก็มานั่งคิดว่าการนำเอาเคพีไอมาใช้ทุกวันนี้เอามาใช้แบบผิดๆหรือเปล่าสภาพสังคมในองค์กรถึงเป็นอย่างงี้ ถ้าเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อนาคตอันไม่ไกลก็ต้องพิจารณาตัวเองคงจะมีความสุขในการดำเนินชีวิต
ฝากหัวหน้าฝ่ายโสตฯ ช่วยเพิ่มเติมอธิบายเรื่อง KPI แก่คุณปัญญาด้วย kpi ไม่ได้ทำเฉพาะที่หอสมุดของเีราแห่งเดียว คิดว่าเรื่องวันลาป่วย ลากิจน่าจะจบได้แล้ว ยิ่งเขียนออกมาก็ยิ่งแสดงถึงความคิด…ของคนเขียน และล่าสุดก็ได้แจ้งให้หัวหน้าฝ่ายงานไปสอบถามลูกน้องว่า จะใช้อะไร แทน ผลสรุปภายในวันที่ 27 มีนาคม ต้องแจ้งต่อที่ประชุมหัวหน้าฝ่าย/งานในวันที่ 28 มีนาคม เพื่อที่จะต้องใช้จริงวันที่ 1 เมษายน 2556 ต่อไป
ขออีกครั้ง ได้ตอบคุณปัญญาไปบ้างแล้ว แต่อาจไม่ครบถ้วน คิดว่าน่าจะนำความคิดนี้โดยการ Print นำเสนอผู้บริหารสำนักหอสมุดกลาง พิจารณาเพื่อชี้แจงให้คุณปัญญาได้ทราบและเข้าใจการทำงานในองค์กร ถามว่าแต่ละคนได้อะไรจากองค์กรบ้าง นอกจากเงินเดือน ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ความเป็นเพื่อน ความอารีมีน้ำใจจากคนรอบข้าง สำหรับพี่แมว ใช้ความเป็นพี่ๆน้องๆ ของคนทุกคนในหอสมุด จึงบอกทุกคนทุกครั้งที่มีประชุม และตลอดเวลาให้คิดแง่บวก คิดดี ทำดี ได้ดีแน่นอนแม้ว่าจะช้าแต่ก็ได้ จะคิดอะไรนักหนา ประเดี๋ยวก็จากกันแล้ว ก็เกษียณหรือลาออกไง ทำงานกับคนหมู่มาก มีหัวหน้า มีลูกน้องก็ต้องเป็นไปตามกฏกติกา มีข้อตกลงร่วมกัน จะทำตามใจตนเองไม่ได้ พี่แมวเป็นหัวหน้า แต่ต้องปฏิบัติตนเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้ทุกคนถือปฏิบัติ มั่นใจว่าได้ใช้หลักธรรมาภิบาลบริหารจัดการงานตลอดมานับตั้งแต่เป็นหัวหน้าหอสมุด พี่มแวจะใช้ข้อความที่ว่า ทำอะไรให้เห็นแก่ผ้าเหลืองบ้าง ตลอดเวลา หรือว่าไม่เคยเห็นเลยนับแต่ทำงานที่นี่
เรื่องของวันลา เคยพูดกันมาแล้วหลายๆครั้ง คราวนี้มาเจอบล็อกของคุณ Panida แสดงความคิดเห็นเอาไว้ อย่างนั้นขอแจมด้วยสักหน่อย
เกณฑ์วัดข้อหนึ่งของKPI มีการให้คะแนนในจำนวนของวันลา ใครลามากจะได้คะแนนน้อย เพราะสรุปว่าวันที่มาทำงานต้องน้อยกว่าคนอื่น แต่จะคิดเฉพาะวันลาป่วยและลากิจ ส่วนวันลาพักผ่อนกลับไม่เอามาคิดคะแนนด้วย ทั้งๆที่วันที่พวกเราลา ไม่ว่าจะลาพักผ่อน ลากิจ ลาป่วย ก็คือวันที่พวกไม่ได้มาทำงานทั้งนั้น
เพราะเหตุนี้จึงพบว่าบุคลากรของหอสมุดไม่ค่อยจะมีใครเจ็บป่วย ไม่มีใครมีกิจธุระ เห็นมีแต่วันลาพักผ่อนกันเป็นส่วนใหญ่ มีกิจธุระก็ลาพักผ่อน ป่วยก็ลาพักผ่อน เลยไม่รู้ว่าวันที่เราลาพักผ่อนจริงๆเราจะต้องไปทำอะไร สงสัยวันลาพักผ่อนคือวันที่ต้องนอนอยู่บ้านเฉยๆห้ามป่วย ห้ามทำกิจธุระ ถึงจะตรงกับความหมายจริงๆ
เป็นการบริหารจัดการเวลาของแต่ละคนขึ้นอยู่กับตนเอง จะลาประเภทใด การลาพักผ่อน หัวหน้ามีสิทธิที่จะไม่อนุญาต ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการทำงานของแต่ละบุคคล และหรือขณะนั้นหน่วยงานมีงานเร่งด่วนหรือมีงานคั่งค้างหรือไม่ วันลาป่วย ลากิจเป็นข้อตกลงขององค์กรที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อองค์กร เนื่องจากองค์กรเป็นหน่วยงานสนับสนุนวิชาการ เป็นหน่วยงานบริการทางวิชาการ จึงจำเป็นต้องมีคนทำงานอยู่ในองค์กรตลอดเวลา จุดบริการจะขาดคนไม่ได้ รอบที่ผ่านมาดิฉันได้วิเคราะห์จำนวนวันลาป่วย ลากิจของบุคลากรเฉพาะข้าราชการและพนักงาน จำนวนเต็ม 32 คนพบว่า ลาไม่เกิน 3.5 วันจำนวน 21คน (ร้อยละ 65.63) ลาระหว่าง 4-5 วันจำนวน 4 คน (ร้อยละ 12.50) ลาระหว่าง 5.5-6.5 วันจำนวน 5 คน (ร้อยละ 15.63) ลาระหว่าง 7-8 วันจำนวน 1 คน (ร้อยละ 3.12) และลามากกว่า 8 วันจำนวน 1 คน (ร้อยละ 3.12) KPIs หัวหน้าหอสมุดและหัวหน้าฝ่ายงาน มีการแจ้งและอธิบายเตือนเรื่องการลาตลอดมา และหากผู้ที่ไม่ประสงค์จะใช้ตัวชี้วัดตัวนี้ ก็ขอให้เสนอมาในรอบหน้า จะพิจารณาเป็นรายๆ ไป ถือว่าเป็นข้อตกลงระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ขอรับการประเมิน การประเมินกระทำโดยคณะกรรมการที่ตั้งโดยสำนักหอสมุดกลาง และก็ได้ทำอย่างจริงจัง ตรวจสอบได้ นับตั้งแต่ครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยกำหนดให้ใช้ kpi…เฮ้อ
ในความเป็นจริงที่นู๋น้องลาป่วย ก็ไม่ได้ป่วยจริงไม่ใช่หรือพี่วี แถมไม่ได้ลากิจอีกต่างหาก แล้วมันต่างอะไรกับคนที่ป่วยหรือกิจ แต่ลาพักผ่อน มันก็ไม่ใช่ความจริงทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลมันก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเวลาอย่างที่หัวหน้าหอสมุดฯ ว่านั่นแหละ แล้วอีกอย่างตอนที่ไม่มีเรื่อง KPI เค้าก็ลากันอย่างนี้ไม่ใช่หรือ สรุปแล้วอย่างที่หัวหน้าหอสมุดฯ ว่านี่แหละ…ท่าจะเหมาะ คือมาทำข้อตกลงเป็นรายๆ ไป…เฮ้อ..ด้วยคน
เฮ้อๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่างเดียวได้ไหมหนอ..555555
แม๊ มีแต่คน เฮ้อ จึงไม่อยากเฮ้อตาม จึงขอแสดงความคิดเห็นดังนี้
1. การสร้าง KPI ของพวกเราตั้งแต่ถือกำเนิดมานั้นทุกคนมีส่วนร่วมมาตลอด แต่ก้ออาจจะมีเสียงแย้งว่าไม่จริง หรือบอกว่ามีน้อย อันนั้นเป็นสิ่งที่วัดยาก เพราะถาม หน.ทั้งหลายทุกยุคสมัยต่างยืนยันว่าแจ้งแล้ว ประชุมแล้ว ฝ่ายที่ตัวเองรับผิดชอบยังพอมีร่องรอยเป็นกระดาษตั้งแต่เป็นลายมือ ส่วนในภาพรวมของหอสมุดฯ ได้พยายามจัดเรื่องนี้เข้าไปแทรกอยู่ในการสัมมนาประจำปีอยู่หลายครั้งรวมทั้งมีการชี้แจงผู้บริหารในภาพรวม
2. KPI ล่าสุดที่ใช้เกณฑ์การประเมินในครั้งนี้ หน.หอสมุดฯ กำหนดให้มีการทบทวนและกำหนดให้กลับไปประชุมกันในฝ่ายงาน และมีการบอกกล่าวกันว่ามีผู้เสนอให้ตัด KPI ในข้อนี้ออก
ในฐานะที่ตัวเองเป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ฯ ได้นำเรื่องนี้มาให้บุคลากรในฝ่ายฯ และพิจารณากันว่าจะให้ตัดหรือไม่ ทุกคนลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่” ด้วยเหตุผลว่าถือเป็นคะแนนช่วยและจะพยายามควบคุมตัวเองได้ให้อยู่ในเกณฑ์กลาง เนื่องจากงานหลักที่ทำอยู่นั้นร่อแร่
จำได้ว่าให้บอกเหตุผลเป็นรายบุคคล และได้นำผลนี้ไปนำเสนอที่ที่ประชุมเพื่อพิจารณาปรับ/เปลี่ยน/สร้าง KPI ในครั้งนี้ ส่วนฝ่ายอื่นๆ เท่าที่จำได้คือบอกว่ามีบ้างที่ขอให้ยกเลิกแต่จำนวนไม่มาก
ดังนั้นการยกเลิก KPI ข้อนี้จึงตกไป
3. ในการประเมินที่ผ่านมานี้ หน.ฝ่ายบางท่านได้นำเสนอว่ากรณีที่เจ็บป่วยโดยต้องเข้าโรงพยาบาลจะกำหนดกันอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ได้นำมาพิจารณาและได้คำตอบในระดับหนึ่ง
แต่ยังคงต้องรอ KPI ที่ผู้บริหารสูงสุดของหน่วนงานเรา จะถ่ายทอดลงมายังหอสมุดฯ ว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร และพวกเราจะไปมีส่วนร่วมและกำหนดค่าน้ำหนักอย่างไร ซึ่งจะเริ่มในเดือนเมษายนนี้
4. ในระหว่างที่รอ (คือในปัจจุบัน) คุยกันว่าขอให้ทุกคนรักษาและให้ยึด KPI ที่ใช้อยู่นี้เป็นคัมภีร์หลักในการทำงาน เพราะตามประสบการณ์คือทุกอย่างจะไม่ต่างจากจากเดิม หากเรามั่นคงในงานไม่ว่าตัวชี้วัดจะเป็นอย่างไร อย่างมากก็แค่ทำเพิ่ม อย่างน้อยคือไม่ต้องทำ
5. KPI เป็นสิ่งที่มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนาออกไปได้ เวลาทำงานจริง หน.ฝ่ายมักให้เจ้าตัวเสนอว่า KPI ที่ต้องการให้วัดคืออะไร บางคนทำและไม่ทำ ซึ่งมีท่าทีหลายแบบ แต่เมื่อมาถึงที่ประชุมแล้ว ที่ประชุมต้องพิจารณากันอย่างเป็น “กลาง” และมองในภาพรวม คำนึงถึงเรืองต่างๆ มากมาย บางคนเสนอตัวเลขมาสูงลิ่ว ต้องจับลดลง หรือตำ แก้เป้นสูง ซึ่งก็ต้องตอบคำถามอีกว่าทำไมและอย่างไร และในการพิจารณาครั้งที่ผ่านมาทุกฝ่ายก็มีข้อเสนอเข้าไปปรับเหมือนๆ กัน
หากมีข้อเสนอขึ้นมา ควรต้องเสนอให้เต็มรูปคือ ตัด/ปรับไป อะไรคือสิ่งใหม่ อะไรคือเหตุผล แล้วจะไปตอบคำตอบให้หน่วยงานอย่างไร แล้วเกณฑ์ 1-5 หน้าตาเป็นอย่างไร ต้องเสนอมาเป็นตัวอย่างก่อน เพื่อจะได้พิจารณาและเข้าใจในควมคิดที่ประสงค์จะนำเสนอ และพร้อมที่จะชี้แจงและยอมรับ
6. สำหรับการลา หากเคยได้ยินคำว่า “เบี้ยขยัน” จากฟากเอกชน คิดว่าน่าจะเข้าใจ
คิดออกแค่นี้ค่ะ
ขอแสดงความคิดเห็นด้วยคน พี่ตาว่า การลาป่วยเป็นเรื่องของตนเองที่จะต้องรับผิดชอบตนเอง ว่าเราควรจะต้องปรับตัวของเราเอง และต้องยอมรับกับการลาป่วยของเรา ซึ่งต้องมาเกี่ยวข้องกับ KPI ซึ่งทุกคนก็ยอมรับแล้วก่อนที่จะเซ็นสัญญาใน KPI หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องระมัดระวังการลาทุกประเภทของตนเอง เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง เพื่อที่จะช่วยให้การประเมินผลการปฏิบัติงานในแต่ละ 6 เดือนของเรามีคุณภาพ ดีขึ้น (พูดง่าย ๆ ว่า ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น จากมากหรือน้อยก็อยู่ที่ผลการปฏิบัติงานของเรา) แต่สำหรับการลาพักผ่อนนั้น พี่ตาว่าที่ไม่นำมาเกี่ยวข้อง KPIก็จริงอยู่ แต่การลาพักผ่อนของเราแต่ละครั้งนั้น ผู้บังคับบัญชาอนุญาต ตามลำดับ หัวหน้างานอนุญาต รับทราบ เพื่อนร่วมงานที่ทำงานแทนกันได้รับทราบทุกครั้ง ซึ่งแต่ละคนในฝ่าย/งานของตนเองก็รับทราบและมอบหมายงานให้ทำงานแทนกันได้ เพราะรัฐบาลก็ให้สิทธิการลาเพื่อเป็นสวัสดิการกับทุกคนอยู่แล้ว ปีละ 10 วัน ให้สะสมได้ไม่เกิน 30 วัน นั้นเป็นสิทธิ์ที่ทุกคนจะสงวนสิทธิ์ของตนเอง หรือจะใช้สิทธิ์นั้นให้หมดไปในแต่ละปีก็ได้ จะลาไปทำอะไร ธุระอะไร หรือทำกิจอันใดนั้น มันเป็นสิทธิ์ของทุกคน ไม่ต้องไปคาดเดาว่าเขาจะไปทำอะไร ที่ไหน หรือจะอยู่กับบ้านก็แล้วแต่ แต่สำหรับลากิจ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ พี่ตาจะไม่ลา เพราะเขาว่ามันมีส่วนไปเกี่ยวข้องกับกับตอนที่เราออกจากราชการ อย่างไร อันนี้จะต้องไปศึกษา และสอบถามผู้รู้อีกทีหนึ่ง
จะพูดถึงลาป่วย ลากิจ ลาพักผ่อน ที่มากำหนดใน kpi เป็นตัวบีบพวกที่ใช้แรงงานไม่ให้ออกนอกลู่ นอกทาง (วัว ควาย )อย่างเราๆที่เป็นสัตว์ที่ใช้แรงงานขับเคลื่อนองค์กรให้ไปได้ดังทุกวันนี้ ยิ่งมันพอใจตัวไหนก็จะดูแลเป็นพิเศษ ท่าไม่พอใจตัวไหนก็พยามบีบให้อยู่ในคอกแคบๆ ก็นับเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกับช้างที่ตัวใหญ่ที่มีปัญหาในการดำเนินชีวิตทุกวันนี้ทั้งๆ อยู่กับบ้านตัวเองก็ยังโดนตามล่า ตามค่ายังกับเป็นโจร เป็นฆาตรกรไม่มีสิทธิเรียกร้องความเป็นธรรมกับใครผู้ตัดสินก็คือคนหรือมนุษย์ที่อ้างว่ามีคุณธรรมสูง ที่อ้างว่าช้างเป็นผู้บุกรุก ทำร้าย ทำลายให้เกิดความเสียหายบ้าง ผิดตลอดโดยไม่สามารถเรียกร้องกับใครได้ ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายไล่ล่า อีกฝ่ายหนึ่งก็อนุรักษ์ ไม่รุ็จะเชื่อใครดี ปัญหามันอยู่ที่คนนี่เองคือเรื่องอำนาจของคน ที่มีแต่ความอยากได้ อยากเป็น อยากมี ที่เป็นปมสร้างความขัดแย้งในสังคม จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มือใครยาวสาวได้ก็สาวเอา หวังที่จะมี จะได้ จะเป็น อย่าหวังเลยที่จะได้รับการหยิบยื่นสิ่งดีๆให้กับคนชั้นล่าง แต่เราก็ต้องยอมรับให้ได้ว่าถ้าเราไม่อยากอยู่ตรงนี้ต้องพยายามถีบไสตัวเองให้ได้ถ้ากล้าที่จะเป็น ถ้าเป็นระบบราชการ พอแล้วคิดไปไกล
มาพูดถึงวันลาบ้าง ไอลาป่วย ลากิจ พักผ่อน หรือจะไปราชการ เราสำหรับผู้ปฏิบัติแบบเราๆต้องรับสภาพ ไม้สามารถหลีกเลี่ยงได้ หรับไปราชการที่นั่นที่นี่นั้นเราไม่สามารถตรวมสอบคนอีกพวกอีกกลุ่มหนึ่งได้เลย เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ใช้ไปทำอะไรบ้าง บางครั้งบางคราวพวกเดียวกันยังไม่รู้เลยว่าไปไหน จริงไหม และขอบเขตมันอยู่ตรงไหนก็ไม่สามารถตอบได้เหมือนกัน
มาถึงเรื่อง kpi ทุกวันนี้ได้ตั้งคำถามตัวเองว่ากูโง่หรือบ้ากันแน่วะ ทำงานจะต้องทำอย่างงั้นอย่างงี้และจะได้เท่านั้นเท่านี้ เหมือนกับต้องมานั่งเรียนหนังสือใหม่ยังงั้น เวลาทำงานก็ต้องนั่งอึ้งว่ากูจะได้ เคพีไอ หรือเปล่าเพราะไองานที่ตั้งใจว่าจะทำหรือวางแผนไว้มันก็คงจะหยิบมาสร้างสรรค์ได้ เพราะถ้าสภาพสังคมองค์กรเป็นยังงี้ต่อไป คนทำงวานก็คงเป็นอัมพาตกันหมดไม่มีใครอยากคิดอะไร ทำตามคำสั่งของเคพีไอ อีกอย่างหนึ่งเราก็มานั่งคิดว่าการนำเอาเคพีไอมาใช้ทุกวันนี้เอามาใช้แบบผิดๆหรือเปล่าสภาพสังคมในองค์กรถึงเป็นอย่างงี้ ถ้าเราเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อนาคตอันไม่ไกลก็ต้องพิจารณาตัวเองคงจะมีความสุขในการดำเนินชีวิต
ฝากหัวหน้าฝ่ายโสตฯ ช่วยเพิ่มเติมอธิบายเรื่อง KPI แก่คุณปัญญาด้วย kpi ไม่ได้ทำเฉพาะที่หอสมุดของเีราแห่งเดียว คิดว่าเรื่องวันลาป่วย ลากิจน่าจะจบได้แล้ว ยิ่งเขียนออกมาก็ยิ่งแสดงถึงความคิด…ของคนเขียน และล่าสุดก็ได้แจ้งให้หัวหน้าฝ่ายงานไปสอบถามลูกน้องว่า จะใช้อะไร แทน ผลสรุปภายในวันที่ 27 มีนาคม ต้องแจ้งต่อที่ประชุมหัวหน้าฝ่าย/งานในวันที่ 28 มีนาคม เพื่อที่จะต้องใช้จริงวันที่ 1 เมษายน 2556 ต่อไป
ขออีกครั้ง ได้ตอบคุณปัญญาไปบ้างแล้ว แต่อาจไม่ครบถ้วน คิดว่าน่าจะนำความคิดนี้โดยการ Print นำเสนอผู้บริหารสำนักหอสมุดกลาง พิจารณาเพื่อชี้แจงให้คุณปัญญาได้ทราบและเข้าใจการทำงานในองค์กร ถามว่าแต่ละคนได้อะไรจากองค์กรบ้าง นอกจากเงินเดือน ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ความเป็นเพื่อน ความอารีมีน้ำใจจากคนรอบข้าง
สำหรับพี่แมว ใช้ความเป็นพี่ๆน้องๆ ของคนทุกคนในหอสมุด จึงบอกทุกคนทุกครั้งที่มีประชุม และตลอดเวลาให้คิดแง่บวก คิดดี ทำดี ได้ดีแน่นอนแม้ว่าจะช้าแต่ก็ได้ จะคิดอะไรนักหนา ประเดี๋ยวก็จากกันแล้ว ก็เกษียณหรือลาออกไง ทำงานกับคนหมู่มาก มีหัวหน้า มีลูกน้องก็ต้องเป็นไปตามกฏกติกา มีข้อตกลงร่วมกัน จะทำตามใจตนเองไม่ได้ พี่แมวเป็นหัวหน้า แต่ต้องปฏิบัติตนเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้ทุกคนถือปฏิบัติ มั่นใจว่าได้ใช้หลักธรรมาภิบาลบริหารจัดการงานตลอดมานับตั้งแต่เป็นหัวหน้าหอสมุด พี่มแวจะใช้ข้อความที่ว่า ทำอะไรให้เห็นแก่ผ้าเหลืองบ้าง ตลอดเวลา หรือว่าไม่เคยเห็นเลยนับแต่ทำงานที่นี่