กองบุญ
เอาบุญมาขวากกกกกกก ก๊าบบบบบ พี่-น้อง
เมื่อวาน…เอ…หรือวันก่อน ฉับฉน ฉับฉน อิฉันฉับฉนตามปาสาแม่ปลาทอง อิอิ
วันไหนก็ช่างเถอะนะ เอาเป็นว่าน้องนำบุญ เอ….ใครกันล่ะ น้องคนนี้
ไม่ต้องแปลกใจ ระยะนี้ยังไม่มีบุคลากรน้องใหม่มาให้เชยชมค่ะ แม้ว่าพี่อาวุโสจะอำลาวงการไปก็ตาม
น้องนำบุญ เป็นนามมะกร เอ้ยยย เป็น นามที่อิฉันแอบนึกได้เมื่อเช้า และแอบเรียกเจ้าตัวในใจ
โดยที่ She ผู้ถูกกล่าวถึงยังมิทันรู้เนื้อตัว เรียกเช่นนี้ก็มิมีอะไรในกอผักตบเจ้าค่ะ
เรียกเพราะต้องด้วยกิริยา วาจา ใจ ที่น้องฉาวผู้น่ารักนางนี้มัก “นำบุญ” มาเผื่อแผ่ พี่-น้อง-เพื่อนผ้องเสมอ
พอจะเดาออกมั้ยคะ ว่า Who is she?
เป็นว่าเฉลยละกันน้องนางนำบุญที่อิฉันกล่าวถึง คือ น้องกาญ(กรร) เจ้าค่ะ
น้องนางเธอผู้นี้ คงเห็นว่า (นานนนนนน๊านนนนน….) อิฉันจะมาใส่บาตรยามเช้าในทับแก้ว
มีอยู่วันหนึ่งเจอกันตอนเช้า น้องนางเธอเห็นอิฉันรีบๆ รนๆ น้องเธอจึงเอื้อนเอ่ยถาม
พอทราบความว่าอิฉันจะรีบไปใส่บาตรพระที่โรงอาหารเล็กและมิแซบแว่จะทันไหม
ในบัดเด๋วนั้น น้องนางเธอก็ชี้ทางสุขให้อิฉัน ชักชวนให้หยุดอาการรีบๆ รนๆ นั้น
ไปพี่ไป ไปใส่บาตรพระกับชมรมพุทธที่ริมสระแก้วสิพี่
เค้าจัดทุกวัน…..(แฮ่ๆ ที่เว้นน่ะ ช่วยเติมคำในช่องว่างด้วยจ้ะ ลืม!!)
ชมรมพุทธเค้าจัดโดยนิมนต์พระท่านมารับบาตร และสวดมนต์ให้พร ณ ศาลาริมสระ
แถมมื้อเย็นทางชมรมฯ ยังจัดให้มีการสวดมนต์เย็นที่เรือนกระจกหน้าศูนย์ศิลปฯ
เช้า-เย็น วันนั้น อิฉันก็เลยอิ่มบุญ ที่น้องนำฯ นางเธอ Delivery มาให้แบบครบวงจร
เช้านี้ก็เช่นกัน
อิฉันได้มีโอกาสไปร่วมตักบาตรในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนาของมหาวิทยาลัยเพราะน้องนำบุญ
ซึ่งพิธีการภาคเช้านี้ชาวทับแก้วก็มาร่วมใส่บาตรกันพออุ่นๆ
แต่คาดว่าภาคบ่ายจะอุ่นยิ่งขึ้นกับกองเชียร์กีฬาวันสถาปนาฯ
เมื่อหันกลับมองขวบปีของศิลปากร หากนับเนื่องตั้งแต่ครั้งยังเป็นโรงเรียนปราณีตศิลปกรรม
ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2476 บัดเด๋วนี้ก็ครบ 79 ปี
หรือหากจะนับเวลาตั้งแต่การ ประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2486
ที่โรงเรียนศิลปะแห่งแรกของประเทศได้รับการสถาปนายกฐานะขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยศิลปากร
อายุอานามในบัดเด๋วนี้ หากนับที่อายุเกษียนก็เลยแซยิด (生日) ใหญ่ มาตั้ง 9 ขวบปีแล้ว
เท่าที่อิฉันได้เติบโตอยู่ในร่มเงาจันทน์มาแต่น้อยคุ้มใหญ่ ตั้งแต่ปี 17 ห่างๆ หายๆ ไปราว 6 ปี
อิฉันกลับคืนถิ่นศิลปากร บิดา มารดร แดนนี้ ตั้งแต่ปี 30 จนปัจจุบัน สิริรวมก็ปาเข้าไป 30 ปีก่าๆ
บอกได้อย่างไม่อายฟ้าดิน
นี่คือ ครั้งแรกที่อิฉันได้ไปร่วมทำบุญใส่บาตรในโอกาสพิเศษของอู่ข้าวอู่น้ำ…ที่ที่ทำให้อิฉันมีวันนี้
เพราะนับตั้งแต่อิฉันได้มีโอกาสมาเป็นยุวชนชาวทับแก้วเมื่อ 30 กว่าปีก่อนโน้นนนนนน
ในฐานะลูกสาธิต ศิษย์พิฆเนศ เด็กน้อยที่ปีเริ่มแรกของโรงเรียน
ยังไม่เป็นที่รู้จัก…แม้แต่…ในร่มเงาของพระพิฆเนศองค์เดียวกัน
ซึ่งอิฉันจำมั่นมาจนวันนี้ว่า ครั้งแรกที่มีโอกาสไปทัศนศึกษาพระบรมมหาราชวัง
เด็กน้อยในชุดยูนิฟอร์มที่ new look มากในกาลครั้งนั้น
ได้สร้างความดึงดูดให้กับชาวกลิ่นแก้ว มว๊ากกกกกกกกกก กว่า
ถึงกับมีพี่ติสสสส หลายหน่อมองเราแบบสงสัย จนบางคนอดรนทนไม่ไหวต้องเข้ามาถาม
น้องๆ มาจากโรงเรียนอะไรอ่ะ?
พอเราตอบกลับไปอย่าง “ยืดอก” ว่า “สาธิตศิลปากร”
โดยไม่คาดคิด…คำถามงวยงง ปนสงสัยที่ได้ยินกลับมา
ทำเอาอกน้อยๆ ที่ยืด มว๊ากกกกกกกกกก เมื่อตะกี้ เหี่ยวววววววววววววววว เชีย!!
ก็พี่แกบ่นๆ ปนถาม กลับมาว่า “มีด้วยหราาาา….อยู่ที่ไหนล่ะ”
อ๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ย่ะ อารัยฟร๊าาาาา!!
อยู่มหา’ลัย เดวกัลลลล แท้ๆ ฮ่วย!!
นั่นก็เป็นความหลังในวัยเยาว์…และเมื่อมาถึงในกาลปัจจุบัน
ปัจจุบันซึ่งอิฉันได้มีโอกาสไปเติบโตและบ่มเพาะวิทยายุทธ์จากสำนักง๊อไบ๊ตักศิลาอื่นๆ
กระทั่งได้มีโอกาสกลับมารับใช้ และร่ำเรียนในอีกระดับจากสถาบันดั้งเดิม
สถาบันอันเป็นแหล่งที่ “บ่มเพาะ คิดอ่าน” ให้แก่เด็กน้อยในอดีต
แหล่งที่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนให้พวกอิฉันเติบโตบนพื้นฐานของ “เหตุและผล”
อิฉันก็อดที่จะแอบรู้สึกเล็กๆ อยู่ในใจไม่ได้ว่า
กาลเวลาในศิลปากรนี่ บางครั้งก็เชื่องช้าเสียเหลือเกิน
ช้าจนทำให้อะไรๆ ที่มันควรจะมี ควรจะเป็นเฉกเช่นสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆ ยังไม่ปรากฎในศิลปากร
แต่ก็นั่นล่ะนะ ด้วยเหตุผลในเชิงนโยบาย ผนวกกับปัจจัยหลายๆ ประการ
คนตัวเล็กๆ อย่างอิฉันและเพื่อนๆ คงมิสามารถบันดาลสิ่งใด ในฐานะคนทำงาน จึงได้แต่ร้องเพลง “รอ”
ที่บ่นๆ มาก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าการไปร่วมใส่บาตรในเช้านี้
อิฉันได้มีโอกาสพบกับพี่ชายที่น่ารักท่านหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าท่านจะอำลาวงการไปหมาดๆ
แต่ด้วยความที่ยังคงวนๆ เวียนๆ อยู่ในรั้วตะขบ เอ้ยยยย รั้วลานจันทน์นี้ ท่านก็เลยมาร่วมใส่บาตร
ทำให้ขาเม้าท์อย่างอิฉัน อดไม่ได้ที่จะถามถึงเรื่องเกี่ยวกับงานที่เคยทราบและเคยพูดคุยกับท่าน
และทำให้อิฉันได้รู้เบื้องลึกลงไปอีกถึงปัญหา-อุปสรรค ของการทำงานของชนชั้นกลางอย่างพวกเรา
ซึ่งอิฉันอยากจะเรียนบ่นๆ ด้วยความเคารพว่า
บางครั้งสิ่งที่บุคลากรระดับปฏิบัติอย่างพวกอิฉันคิดและเห็นว่าดีนั้นมันอยู่ “นอกสายตา”
ซึ่งก็มีหลายตัวอย่าง “งาน” ที่ในบางยุคบางสมัยทั่นๆ “เห็น” และ “ให้” ความสำคัญ
งานนั้นก็จะถูกนำขึ้นมาพูดคุย แต่เมื่อพ้นสมัย บางครั้ง บาง(หลาย)งานก็จะถูกวางไว้
บางครั้ง บางครา บางงานก็ถูกปล้น…เอ้ยยยยยยย ถูกปรับเปลี่ยนไป(ซะงั้น) ก็มีไม่น้อย
เฮ้ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
อันที่จริงอิฉันจะเล่าเรื่อง “บุญ” นะ
เอาซักหน่อยละกัน เด๋วทั่นๆ ที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้จะฉับฉนว่า เกี่ยวอะไรกะหัวข้อ
เอาๆๆๆๆๆ ว่าด้วยเรื่อง “กองบุญ” ก็ได้
อย่างที่เกริ่นไปตั้งกะตอนบนๆ นู้นนนนนน ว่าเป็นครั้งแรกที่อิฉันได้มีโอกาสร่วมทำบุญ
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ตั้งใจจะไปร่วมบุญ…
แบบว่า… ความตั้งใจของอิฉันมักมี “เหตุ” อันอ้างได้บ้าง ไม่ควรอ้างบ้าง น่ะคร้าาาา ^^
ดิฉันไปถึงก็จวนเจียนเวลาที่น้องนำบุญเธอบอกไว้ว่าประมาณ 7.30 โดยประมาณ
ผู้คนยังไม่หนาแน่นนัก ยังมีที่ว่างพอประมาณ
ให้อิฉันได้นำข้าวของที่จัดเตรียมฉบับด่วนๆ จาก 7-11 ไปวาง
จนสักครู่ใหญ่ก่อนที่พระสงฆ์ท่านจะลงมาจากอาคารสำนักงาน
พี่ๆ น้องๆ ก็เริ่มมากันหนาตาขึ้นเป็นลำดับ จนเมื่อประธานเป่านกหวีด เอ้ยยยย พระท่านเริ่มบิณฑบาต
จากอาการที่ยืนสง่างามในแนวหลังโต๊ะ บางพื้นที่ตามความยาวตลอดแนวก็มีตะแคงๆ ข้าง…แบ่งๆ กันยืน
ระหว่างที่ผู้ใส่พากันใส่บาตร หนุ่มๆ ชาวสำนักงานฯ สี่ ห้าคน ก็ต้องพากันจำแลงกายเป็นเด็กวัด
ทำหน้าที่ “ถ่าย” และ “เท” ของใส่บารตกันเป็นระวิงจนเริ่มไม่ทัน
ผู้ร่วมใส่บาตรรวมทั้งตากล้อง ทั้งตากล้องทางการ และตากล้องทางเกิน
ที่ในจำนวนนี้มีพี่ปัญ กะลุงสานของป้าติ๋วไปร่วมสังฆกรรม
ต่างจำแลงกายแย่งบารตพระกันเป็นระวิง…อ๊ะๆๆๆ ปล่าวจร้าาา ที่แย่งน่ะ ม่ะได้ปล้นจ้ะ
แต่แย่งกันเอามาเทลงเข่งที่เริ่มไม่พอใส่อาหาร
จนมีใครสักหนุ่มจำไม่ถนัดว่าน้องเบิร์ด ปชส. มั้ยเกิดได้แรงส่ง อันเกิดจากเสียงเชียร์ของลุงข้างๆ
เฮียแกบอกให้เทลงเสื่อ น้องเราก็มิช้าลากเสื่อตามพระมาทางปลายแถวเชีย
ที่มาแห่ง “กองบุญ” ที่นำมาเผื่อแผ่แด่ท่านสาธุชนที่พึงสดับรับเอาไว้ จึงเอวังด้วยประการฉะนี้แล
สาธุ สาธุ สาธุ __/|__
^______________________________^