สิ่งที่เห็นกับความเป็นจริงอาจสวนทางกัน
ทุกวันนี้ ทุกอย่างในโลกมักมี 2 ด้านที่ตรงข้ามกัน เช่น มีหัวและก้อย มีขาวและมีดำ มีดีและมีชั่ว มีบุญและมีบาป แต่ก็เป็นเรื่องยากที่เราจะแยกแยะหรือตัดสินสิ่งใดว่าเป็นเช่นไรด้วยเพียงแค่เราเห็นด้วยตาหรือได้ยินมากับหู ซึ่งความเป็นจริงนั้นอาจไม่เป็นจริงตามที่เราเห็นหรือได้ยินก็เป็นไปได้ โดยจะขอยกตัวอย่างเรื่องเล่าของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ในหนังสือ “ด้วยรักบันดาล…นิทานสีขาว เล่ม 2” เรื่อง ลิงในจิตใจ ซึ่งมักจะถูกนำมากล่าวขานกันในโลกไซเบอร์ ดังนี้
“หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อมมานาน ด้วยความเหงา นางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา
วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้าน เธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย
ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวค่อย ๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่าง ๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉย ๆ
สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง
ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้นกระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเมื่อเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรงหลายที ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย”
นิทานอีกเรื่องหนึ่งซึ่งผู้เขียนเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก กล่าวถึง ชาวบ้านซึ่งอยู่ด้วยกันสองคนคือสามีและภรรยา วันหนึ่งขณะที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรกนั้น สามีก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นโจรไปปล้นและฆ่าคนตาย ซึ่งผู้เป็นสามีไม่สามารถหาหลักฐานหรือพยานมาลบล้างข้อกล่าวหาได้ จึงถูกจองจำให้ติดคุกเป็นเวลา 20 ปี และเมื่อถูกติดคุกไปเป็นเวลา 20 ปี ก็ถูกปล่อยตัว ในวันที่พ้นโทษนั้น ผู้เป็นสามีรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้งว่าจะได้พบหน้าภรรยาผู้เป็นสุดที่รัก เมื่อเดินทางมาถึงหน้าบ้านของตนเอง ก็ได้ยินเสียงภรรยากำลังล้อเล่นอยู่กับชายหนุ่มภายในบ้านด้วยความสนิทสนม เมื่อได้ยินดังนั้นสามีก็เกิดโทสะคิดว่าภรรยานอกใจ ไปปันใจให้ชายอื่น จึงคิดจะฆ่าทิ้งเสียทั้งสองคน แต่ด้วยความคิดถึงภรรยาอย่างสุดซึ้ง จึงอยากจะเห็นหน้าภรรยาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะฆ่าทิ้ง จึงตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้าน เมื่อภรรยาเห็นสามีกลับมาก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ และหันไปกล่าวกับชายหนุ่มที่อยู่ด้วยว่า “กราบเท้าพ่อของเจ้าเสียซิ พ่อของเจ้าถูกกล่าวหาว่าเป็นโจร ปล้นฆ่าผู้อื่น ตอนนี้พ่อของเจ้ากลับมาแล้ว เราจะได้อยู่พร้อมหน้ากันสามคนพ่อ แม่ ลูก”
นิทานทั้งสองเรื่องข้างต้น จะเห็นได้ว่าสิ่งที่หญิงสาวชาวบ้านเห็นการกระทำของลิงกับลา กับสิ่งที่ผู้เป็นสามีได้ยินภรรยาพูดล้อเล่นกับชายหนุ่มนั้น ทำให้สามารถคิดไปได้ต่างต่างนานา ดังนั้นหากเป็นตัวเราเองประสบกับเรื่องต่าง ๆ เราต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาและหาข้อเท็จจริงให้ปรากฎชัดเจนก่อนว่าเรื่องนั้น ๆ เป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ อย่าด่วนตัดสินว่าถูกหรือผิด หรือเชื่อในสิ่งที่เห็นอย่างงมงาย และควรให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้มีโอกาสชี้แจงข้อมูลหรือข้อเท็จจริง ยิ่งถ้าท่านเป็นหัวหน้าคนหรือเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วยแล้ว สิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความหนักแน่น รอบคอบและมีสติ เพราะสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้
One thought on “สิ่งที่เห็นกับความเป็นจริงอาจสวนทางกัน”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
คุณใหญ่อ่านธรรมมะ แต่อิฉันกลับชอบดูละครเรื่องมารยาริษยา แต่เวอร์ชั่นนี้ไม่ได้ดูหรอก เพราะกลัวยัย “ดีนี่” มาก