TOEFL/TOEIC/IELTS/GMAT/GRE/SAT

:mrgreen: เมื่อวันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม ได้ไปคัดเลือกหนังสือเพื่อจัดหาเข้ามาไว้บริการที่หอสมุดของเรา (วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์) ที่ร้านคิโนะคุนิยะ ที่สยามพารากอนกับหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ฯ (พี่สมปอง) มีมุมหนังสืออยู่มุมหนึ่งที่เห็นแล้วละลานตาไปหมดคือ มุมหนังสือที่ใช้ในการเตรียมสอบภาษาต่างประเทศ ทำให้อยากรู้ว่า การสอบภาษา เพื่อการเรียนต่อหรือทำงานก็แล้วแต่นั้นมันมีกี่ชนิด กี่ประเภท อะไรบ้าง แล้วที่เราๆท่านๆทั้งหลายจัดหามาบริการนั้นมันครอบคลุม หรือหลงลืมไปบ้างหรือเปล่า วันนี้ก็เลยต้องค้นคว้ากันเสียหน่อย เพื่อเป็นความรู้กับตนเอง
การเรียนต่อต่างประเทศนั้น เราๆท่านก็ทราบกันดีว่า การจะได้ไปเรียน จะต้องผ่านการทดสอบทางด้านภาษากันก่อน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องการดูผลว่าเรามีความสามารถเพียงพอที่จะสามารถไปเรียนได้หรือเปล่า ส่วนใหญ่จะมีสอบ
1. สอบภาษาอังกฤษ TOEFL สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ และ IELTS สำหรับอังกฤษ
2. สอบความรู้ด้านอื่น รวมถึงสอบ GMAT สำหรับด้านบริหาร และสอบ GRE สำหรับด้านอื่นๆ เป็นต้น
ทีนี้เรามาดูกันว่า การสอบแต่ละอย่างแตกต่างกันอย่างไร 😯
😎 การสอบ TOEFL ย่อมาจาก Test of English as a Foreign Language (TOEFL อ่านออกเสียงว่า โทเฟิล หรือ โทเฟล) ในอดีตประกอบด้วย 2 แบบ คือ สอบแบบที่ใช้กระดาษในการทำข้อสอบ (Paper-based Testing : PBT) และการสอบที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำข้อสอบ (Computer-based Testing : CBT) กระทั่งปี 2005 ได้เปลี่ยนแปลงการสอบให้สอบผ่านอินเตอร์เน็ต (Internet-based Testing : iBT) โดยเลิกใช้การสอบทั้ง 2 แบบไปเรื่อยๆ จนกว่าการสอบผ่านอินเตอร์เน็ตจะแพร่หลายมากขึ้น และยกเลิกไปในที่สุด  ในประเทศไทยมีการสอบ iBT แล้วในกรุงเทพฯ ลาดกระบัง หาดใหญ่ นครปฐม
การสอบแบบ iBT เป็นการสอบทักษะภาษาอังกฤษแบบบูรณาการ เป็นการสอบที่ต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษทั้งการพูด ฟัง อ่าน และเขียนในการสอบ โดยการสอบแต่ละส่วนจะเชื่อมโยงกันทั้งหมด ผู้สอบต้องตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดทั้งหมด เพราะหมายความว่าเราจะตอบ พูด หรือเขียนไม่ได้เลย ถ้าไม่ตั้งใจฟังตั้งแต่แรก
สำหรับการสอบ TOEFL iBT จะใช้เวลาสอบประมาณ 4 ชั่วโมง โดยเน้นการวัดความรู้ทางภาษาอังกฤษในเชิงวิชาการ เพื่อใช้ความรู้ทางภาษาไปใช้ในการศึกษาต่อในระดับสูง โดยแบ่งเนื้อหาเป็น 4 ทักษะ ดังนี้
1.Readingป็นทักษะที่ใช้วัดความเข้าใจของการอ่านในเชิงวิชาการของผู้สอบ โดยผู้สอบต้องตอบคภพามจากบทความ 3 บทความ ในแต่ละบทจะต้องตอบคำถาม 12-15 ข้อ ส่วนนี้ต้องทำข้อสอบรวมประมาณ 39-40 ข้อ
2.Listening เป็นทักษะที่ใช้วัดความเข้าใจในการฟังภาษาอังกฤษ ผู้สอบต้องฟังบทสนทนาในประเด็นทั่วไป 2 เรื่อง และสถานการณ์จำลองในห้องเรียน 4 เรื่อง ต้องตอบคำถามจากสิ่งที่ได้ยินแต่ละบทสนทนา และเรื่องที่ได้ฟัง โดยส่วนนี้ต้องทำข้อสอบ 34-35 ข้อ
3.Speaking เป็นทักษะที่ใช้วัดความเข้าใจในการพูดภาษาอังกฤษเนื้อหาเชิงวิชาการ ผู้สอบต้องตอบคำถามด้วยการพูด รวม 6 ข้อ หลังจากอ่านบทความ และการฟังบรรยายในแต่ละประเด็น โดยแบ่งประเภทของคำถาม ดังนี้
คำถามที่ 1 และ 2 เป็นเรื่องราวที่ผู้สอบคุ้นเคย อาจเป็นประสบการณ์ หรือทัศนะส่วนตัว มีเวลาในการเตรียมตอบคำถาม 15 วินาที และมีเวลาตอบคำถาม 45 วินาทีตในแต่ละข้อ
คำถามที่ 3 และ 4 ผู้สอบจะได้อ่านข้อความสั้นๆ ในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง จากนั้นจะได้ฟังบทสนทนา หรือการบรรยายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้นนั้น ผู้สอบต้องตอบคำถามจากสิ่งที่ได้อ่าน และฟัง โดยวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา และตอบคำถามที่เหมาะสม มีเวลาเตรียมตอบคำถาม 30 วินาที และตอบคำถาม 60 วินาทีในแต่ละข้อ
คำถามที่ 5 และ 6 ผู้สอบจะได้ฟังบทสนทนาเพื่อการวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ หรือฟังบรรยายทางวิชาการ ผู้สอบต้องตอบคำถามจากสิ่งที่อ่าน และฟัง โดยการวิเคราะห์ สรุปข้อมูลที่ได้มา และตอบคำถามที่เหมาะสม มีเวลาเตรียมตัวตอบคำถาม 20 วินาที และมีเวลาตอบคำถาม 60 วินาทีในแต่ละข้อ
4.Writing ป็น ทักษะที่ใช้วัดความเข้าใจในการเขียนในเชิงวิชาการ โดยผู้สอบต้องแสดงความสามารถในการใช้ภาษา และการคิดวิเคราะห์ การพัฒนาความคิดในประเด็นที่ได้อ่านจากข้อสอบ 2 ข้อ
คำถามที่ 1 ผู้สอบจะได้อ่านบทความทางวิชาการในเวลาประมาณ 3 นาที และฟังการบรรยายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ได้อ่าน จากนั้นผู้สอบต้องสรุปบรรยาย หรือแสดงทรรศนะจากสิ่งที่ได้อ่าน และฟัง โดยต้องเขียน 150-220 คำ ในเวลา 20 นาที
คำถามที่ 2 ผู้สอบจะได้อ่านประโยคสั้นๆ และตอบคำถามโดยการบรรยาย หรือแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลจากสิ่งที่ได้อ่าน โดยต้องเขียนอย่างน้อย 300 คำ ในเวลา 30 นาที
😎 TOEIC (The Test of English for International Communication) ถูกพัฒนาขึ้นมาในปี 1979 โดย Educational Testing Service? (ETS?) ซึ่งตั้งอยู่ที่ Princeton, นิวเจอร์ซี่ สหรัฐอเมริกา
TOEIC คืออะไร? TOEIC (Test of English for International Communication ) เป็นข้อสอบมาตรฐานระดับสากล ในการวัดทักษะภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ โดยในปี 2008 มีมากกว่า 5 ล้านได้ทดสอบ TOEIC และจากกว่า 30 ปีที่ผ่านมา คะแนนสอบ TOEIC ได้ช่วยเหลือ องค์กร สถาบันการศึกษา และรัฐบาลทั่วโลก กว่าหลายพันแห่ง ในการรับสมัครและโปรโมทผู้สมัครที่มีคุณสมบัติมากที่สุด ซึ่งการสอบ TOEIC จัดทำขึ้นโดยEducational Testing Service (ETS) สำหรับในประเทศไทยนั้น  มีหลายหน่วยงานและสถาบันต่างๆ มากมายที่ต้องการผล TOEIC เช่น ธุรกิจการบิน การโรงแรม การท่องเที่ยว การขนส่ง สถาบันการเงิน ปิโตรเคมี ยานยนต์ โรงพยาบาล รวมทั้งบริษัทข้ามชาติอื่นๆ โดยนำไปใช้ในด้านต่างๆ เช่น สำหรับพิจารณาทักษะทางภาษาอังกฤษเพื่อรับสมัครเข้าทำงาน ปรับเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง คัดเลือกเพื่อไปอบรมสัมนาต่างประเทศ  ปัจจุบัน TOEIC มีการสอบสองรูปแบบคือ
1. TOEIC Listening and Reading Test (การฟังและการอ่าน) และ
2. TOEIC Speaking and Writing Tests (การพูดและการเขียน) ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่
โดยในประเทศไทย มีการสอบเฉพาะแบบ TOEIC Listening and Reading Test (การฟังและการอ่าน) ซึ่งเป็นแบบทดสอบซึ่งสามารถวัดทักษะความสามารถในการนำภาษาอังกฤษมาใช้งานได้ จริง ทั้งด้านการฟังและการอ่านคะแนนของ TOEIC ไม่มีคะแนนได้ คะแนนตก ซึ่งแต่ละคะแนนจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ภาษาของผู้สอบ โดยคะแนน TOEIC เริ่มจาก 10 คะแนนถึง 990 คะแนน
😎 IELTS (International English Language Testing System) คือ ชื่อย่อของระบบการวัดผลภาษาอังกฤษนานาชาติ ซึ่งเป็นระบบทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก แต่ความประสงค์ที่จะใช้ภาษาอังกฤษในการศึกษาต่อ หรือทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ IELTS จัดทำและพัฒนาโดย IDP Education Australia; IELTS Australia, the University of Cambridge Local Examinations Syndicate (UCLES) The British Council ซึ่งในปัจจุบันนี้มีศูนย์สอบกว่า 250 แห่งทั่วโลก  เมื่อพูดถึงการทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษก่อนไปศึกษาต่อต่าง ประเทศ คนไทยส่วนใหญ่จะนึกถึงการสอบ TOEFL ซึ่งเป็นการทดสอบระบบ American แต่สำหรับผู้ที่กำลังเตรียมตัวศึกษาต่อที่ประเทศ Australia, England, New Zealand หรือต่างประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ จะต้องใช้ผลสอบ IELTS หรือ TOEFL อย่าใดอย่างหนึ่งก็ได้ เนื่องจากปัจจุบันมหาวิทยาลัย หรือสถานศึกษาต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ ต้องการใช้ผลสอบ IELTS มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ในแคนนาดาและอเมริกาเอง ก็เริ่มยอมรับผลสอบ IELTS มากขึ้นเช่นกัน  IELTS เป็นระบบวัดผลภาษาอังกฤษ สำหรับการศึกษาต่อชนิดเดียว ที่ให้ความสำคัญต่อภาษาอังกฤษทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง, พูด, อ่าน และเขียน โดยให้คะแนนทั้ง 4 ทักษะ แยกออกจากกัน สามารถวัดผลได้ชัดเจน แม่นยำ และถูกต้องตรงกับความสามารถในการใช้ภาษาที่แท้จริง ของผู้สอบ IELTS จะทดสอบทั้ง 4 ทักษะ โดยการแบ่ง
IELTS แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
Academic : สำหรับผู้ต้องการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาหรือสูงกว่าในทุกสาขา
General Training : สำหรับ ผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา หลักสูตรระยะสั้น หลักสูตรฝึกอบรมต่าง ๆ แต่บางสถาบันต้องการให้ผู้สมัครเรียนสอบ Academic Module อันเนื่องมาจากมีความยากง่ายของสาขา ซึ่งผู้สมัครสามารถสอบถามโดยตรงกับสถาบันนั้น หรือเจ้าหน้าที่แนะแนวของ IDP หรือสำหรับผู้ที่มีความประสงค์จะย้ายถิ่นฐานไปออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์
😎 SAT คือ Scholastic aptitude Test 1 เป็นข้อสอบที่ใช้วัดระดับความรู้ ความสามารถของนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อระดับปริญญาตรี เพื่อเปรียบเทียบความพร้อม และความสามารถที่แท้จริงของนักเรียนแต่ละคน โดยไม่ต้องอาศัยเกรดจากโรงเรียน โดยจะทดสอบการใช้เหตุผล 2 วิชา คือ ภาษาศาสตร์และคณิตศาสตร์  ข้อสอบแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่
•Critical Reading หรือ การอ่านเชิงวิพากษ์ ซึ่งเป็นข้อคำถามแบบเติมคำลงในช่องว่างของประโยค และของเนื้อเรื่องที่ให้มา
•Math หรือคณิตศาสตร์ ซึ่งมีเนื้อหาสาระตามหลักสูตรวิชาคณิตศาสตร์ที่นักศึกษาที่ต้องการเข้าเรียนต่อ
ในระดับอุดมศึกษา ต้องผ่านการศึกษาเล่าเรียนในสามปีสุดท้าย ของระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมาแล้วทั้งสิ้น
•Writing หรือการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ โดยมีรูปแบบเป็นคำถามปรนัย และการเขียนเรียงความหนึ่งเรื่อง

ข้อสอบ SAT แบ่งออกเป็น 7 section เวลาในการสอบคือ 3 ชั่วโมง โดยจัดแบ่งข้อสอบดังนี้

SAT Verbal : มี 3 ส่วน ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Reading , Grammar และ Analytical Reasoning โดยมีรูปแบบของคำถามเป็น Analogies, Sentence Completion และ Critical Reading ระยะเวลาของการสอบคือ 1 ชั่วโมง 15 นาที
SAT Math : มี 3 ส่วนเช่นกัน ซึ่งทดสอบในเรื่องของ Algebra, Arithmetic และ Geometry โดยมีรูปแบบของคำถามแบบ Quantitative Comparisons (QCs), Regular Math และ Grid-ins ระยะเวลาของการสอบคือ 1 ชั่วโมง 15 นาที
Experimental : การสอบใน 1 section ที่เหลือนี้ จะเป็นเรื่องของบททดสอบ ซึ่งอาจเป็นทางด้านของ Verbal หรือ Math และใช้เป็นข้อมูลภายในของ ETS เท่านั้น คะแนนในส่วนนี้ จะไม่นำมารวมกับคะแนนในส่วนอื่นๆ
😎 GMAT – Graduate Management Admission Test
GMAT เป็นข้อสอบแบบปรนัย (Multiple-Choice) ใช้สำหรับผู้ที่ต้องการสมัครเพื่อเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา ด้านธุรกิจและบริหาร ACT ซึ่งเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงด้านการพัฒนาการสอบแบบคอมพิวเตอร์ เป็นผู้พัฒนาการสอบ GMAT และ Pearson VUE ซึ่งเป็นผู้นำในระดับโลกด้านการบริหารจัดการ การสอบแบบที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นผู้ดำเนินการสอบปัจจุบันการสอบ GMAT ทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีศูนย์สอบนอกสหรัฐอเมริกามากขึ้น นอกจากนี้ ผู้สอบทุกท่านจะสามารถเลือกลงทะเบียนสอบ GMAT ได้ทั้งในแบบ online หรือทางโทรศัพท์ โดยผู้สอบสามารถลงทะเบียนสอบ GMAT ที่ดำเนินการโดย Pearson VUE ได้
GMAT มีรูปแบบของการสอบเป็นแบบ Computer-Adaptive Test (CAT) และประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ:
1. Analytical Writing Assessment : เป็นการเขียน essay 2 บทความ บทความละ 30 นาที ซึ่งต้องทำด้วยคอมพิวเตอร์เท่านั้น
2. Quantitative Section: 75 นาที 37 คำถาม ใน 2 รูปแบบคือ Data Sufficiency และ Problem Solving
3.Verbal Section: 75 นาที 41 คำถามใน 3 รูปแบบคือ Reading Comprehension, Critical Reasoning และ Sentence Correction
😎 GRE (Graduate Record Examination) และเป็นข้อสอบวัดเชาวน์ปัญญาทั่วไป ที่ต้องสอบสำหรับผู้ต้องการเรียนต่อในระดับสูงกว่าปริญญาตรี ในประเทศสหรัฐอเมริกา ยกเว้น Business School ที่ต้องสอบ GMAT และ Law School การสอบนั้นประกอบไปด้วย multiple-choice สามส่วนด้วยกัน , Quantitative, Analytical,Verbal และ อีกส่วนหนึ่งที่สอบแยกต่างหากคือ การเขียน essay ที่เรียกว่า Writing Assessment. ในประเทศไทย ปัจจุบันได้เปลี่ยนรูปแบบการสอบ มาเป็นแบบ Computer Adaptive Test(CAT) ซึ่งสามารถสมัครสอบได้ กว่า 20 วัน ในแต่ละเดือน และรู้ผลสอบได้อย่างรวดเร็ว
การสอบ GRE มีอยู่ 2 รูปแบบ คือ การสอบทั่วไป(General Test ) และการสอบเฉพาะวิชาสาขา (Subject Test) ในวิชาต่างๆ 16 สาขา การสอบทั่วไป(General Test ) เป็นการสอบ เพื่อวัดทักษะของผู้สอบที่มีอยู่ โดยวัดออกมา ในรูปของคะแนนของความสามารถทางภาษา คำนวณ และความสามรถ ในเชิงวิเคราะห์ การสอบใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที
ส่วนในประเทศไทยของเรา การสอบภาษาอังกฤษที่รู้จักกันดีก็มีเช่น การสอบ CU-TEP จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และการสอบ TU-GET ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
😮 CU-TEP คืออะไร CU-TEP (Chulalongkorn University Test of English Proficiency)
CU-TEP วัดความสามารถการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาทางทักษะการอ่าน การเขียนการฟังและ การพูดเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษทั่วไป และภาษาอังกฤษกึ่งวิชาการ เพื่อเข้าศึกษาต่อ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อสอบCU-TEP ประกอบด้วยข้อสอบ 3 ชุดย่อย คือ

  • Listening ทดสอบทักษะการฟังโดยให้ฟังเทปที่ใช้เสียงของเจ้าของภาษาและตอบคำถามวัดความเข้าใจ จำนวน 30 ข้อ เวลาสอบ 30 นาที
  • Reading ทดสอบทักษะการอ่านโดยให้อ่านเรื่องที่กำหนดให้ และตอบคำถามเพื่อวัดความเข้าใจ จำนวน 60 ข้อ เวลาสอบ 70 นาที
  • Writing ทดสอบความรู้ด้าน Grammar โดยให้หาจุดบกพร่องของประโยคที่กำหนดให้ (Error recognition) จำนวน 30 ข้อ เวลาสอบ 30 นาที

😮 ส่วน TU-GET (Thammasat University Graduate English Test) คือการทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษ TU-GET เป็นข้อสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษของผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นนัก ศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ ผู้ประสงค์จะทดสอบความรู้ภาษาอังกฤษเพื่อทราบระดับความสามารถของตนเอง ลักษณะและจำนวนข้อสอบ
ข้อสอบ TU-GET แบ่งเป็น 3 ตอน คือ
ตอนที่ 1 ความรู้ทางไวยากรณ์ ( Grammar)
1.1 Sentence Completion ( การเติมประโยคให้สมบูรณ์ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์)
1.2 Error Identification ( การบ่งชี้ว่าข้อเลือกใดเป็นข้อที่ผิดกฏทางไวยากรณ์)
ตอนที่ 2 ความรู้ทางด้านศัพท์ ( Vocabulary)
2.1 ข้อสอบแบบ Cloze เป็นข้อสอบที่เว้นช่องว่างไว้ให้เติมคำศัพท์ที่ถูกต้องโดยเลือกจากคำศัพท์ที่กำหนดให้
2.2 ข้อสอบที่มการขีดเส้นใต้คำในประโยคและให้เลือกคำที่มีความหมายใกล้เคียงกับกลุ่มคำที่กำหนดให
ตอนที่ 3 การอ่านเพื่อความเข้าใจ ( Reading Comprehension)
เป็นการวัดทักษะการอ่านหลายๆ ด้าน เช่น main idea, detail information, pronoun reference, inference และ conclusion เป็นต้น
😆 เป็นอย่างไรบ้างค่ะ จากเนื้อหาข้างบนแสดงให้เห็นว่า การสอบภาษาอังกฤษทีหลากหลายรูปแบบ แล้วแต่ว่าผู้สอบจะนำไปใช้แบบใด โดยส่วนตัวผู้เขียนเคยผ่านการทดสอบมาอย่างเดียว คือ การสอบ CU-TEP เนื่องจากเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2546 จากประสบการณ์ พบว่าทักษะการอ่าน และการฟังยังใช้ได้อยู่ แต่การเขียนค่อนข้างได้คะแนนน้อย (อาจเนื่องจากทิ้งมาเสียนาน) แต่การคิดคะแนนจะคิดเป็นคะแนนรวม แต่จะแยกให้ผู้สอบทราบว่า แต่ละทักษะได้คะแนนเท่าใด
และจะเห็นได้ว่า หนังสือเกี่ยวกับสารพัดการสอบเหล่านี้เป็นที่ต้องการของนักศึกษาและประชาชนทั่วไปมาก มีรูปแบบหลากหลาย หลายผู้แต่ง หลายสำนักพิมพ์  ให้เลือกสรร แต่ที่แน่ๆ คือ ห้องสมุดจัดหามาให้บริการไม่เคยขาด และที่สำคัญเนื่องจากหนังสือประเภทนี้เป็นที่ต้องการของผู้ใช้มาก ดังนั้นหอสมุดฯ จึงขอสงวนการยืมตลอดเทอม เพื่อบริการผู้ใช้ทุกระดับได้อย่างเต็มที่คะ 😉

ข้อมูลจาก :
http://www.vcharkarn.com/varticle/59
http://www.eduzones.com/inter-6-2-30446.html
http://www.eduzones.com/campus-4-23-30432.html
http://www.dek-d.com/content/all/9924/
http://blog.eduzones.com/expo2009/18995
http://www.efsiam.com/articlestoeic1.html
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=0706563109728c03

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร