ค่ากลาง
ในการทำ KPI ของพวกเราหมายถึงหัวหน้าทั้งหลายในห้องสมุด ตกลงกันว่าจะให้เกณฑ์ 3 เป็นค่ากลาง
คำว่าค่ากลางหมายถึง ค่าเฉลี่ยปกติ (ที่มีโน้มไปทางน้อย) ที่คิดว่าสามารถทำได้
คำว่า ที่คิดว่าสามารถทำได้ เป็นข้อความทั่วๆ ไป ที่คงเห็นกันดาดดื่นสำหรับผู้ที่ต้องการแสดงความคิดเห็น
แต่ในการทำงานจริง ที่คิดว่าสามารถทำได้ จะต้องมีผลเป็นรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้ อธิบายที่มา ที่ไป เหตุผล
มีหลายงานใน KPI เป็นในเชิงปริมาณ ซึ่งจำเป็นต้องหาค่ากลางให้ได้
เหตุผลที่ต้องหาให้ได้เพราะ การหาค่ากลางของข้อมูลที่เป็นตัวแทนของข้อมูลทั้งหมดเพื่อความสะดวกในการสรุปเรื่องราวเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ จะช่วยทำให้เกิดการวิเคราะห์ข้อมูลถูกต้องดีขึ้น การหาค่ากลางของข้อมูลมีวิธีหาหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสีย และมีความเหมาะสมในการนำไปใช้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะข้อมูลและวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ข้อมูลนั้นๆ (http://301math.exteen.com/20080111/entry-6)
มีวิธีการหาหลายวิธีคือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic mean) มัธยฐาน (Median) และ ฐานนิยม (Mode) เนื่องจากวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ไม่เข้าสมอง แต่แปลกที่ชีวิตกลับต้องใช้เรื่องพวกนี้ทุกวัน
วิธีการที่ง่ายที่สุดสำหรับตัวเองในการหาค่ากลางคือ การใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic mean) ซึ่งเป็นการหาค่าเฉลี่ยเลขคณิตของข้อมูลที่ไม่แจกแจงความถี่ให้ x1 , x2 , x3 , …, xN เป็นข้อมูล N ค่า
เมื่อทำงานจริงๆ ค่า X หมายถึงผลงานที่ทำได้ในแต่ละปี ส่วน N หมายถึงจำนวนปีที่นับ ตอนเราอยู่ฝ่ายบริการจะใช้สถิติสามปีย้อนหลัง
สองปีกับการใช้ชีวิตของการสร้าง KPI บวกกับเสียงสะท้อนทั้งภายในหน่วยงาน และนอกหน่วยงาน ที่ได้มีโอกาสไปที่โน่นที่นี่ บวกกับการสังเกตพบว่า ค่ากลาง อาจมีการผิดเพี้ยน (error) ออกไป ด้วเหตุผลและตัวแปรบางอย่าง ที่เป็นผลดีต่อองค์กร แต่อาจส่งผลกระทบไปยังเพื่อนร่วมงานโดยไม่มีเจตนา …
มีงานบางอย่างผู้รับผิดชอบในการทำงานไปทำในช่วงนอกเหนือจากเวลาราชการ เช่น ทำที่บ้าน เวลาพัก ทำงานตอนเช้า มีตัวช่วย ฯลฯ ซึ่งองค์กรอาจมองว่านี่คือการอุทิศเวลาให้กับราชการ ????
และเมื่อใดที่ KPI ตัวนี้ ส่งต่อไปยังผู้อื่น เช่น เด็กใหม่ หรือ การโยกย้ายงาน ซึ่งขาดความชำนาญ ชั่วโมงการทำงานที่บอกว่าคือ การอุทิศเวลาให้กับราชการ ???? อาจไม่เท่ากับคนเดิมที่รับผิดชอบ จะทำเยี่ยงไร????
และการมองคนว่า อุทิศเวลาให้กับราชการ???? คิดว่าเรื่องแบบนี้อาจต้องคุยกันยาวเรื่องวิธีการคิดที่ส่งผลต่อการประเมินผล ที่มีทั้งสองส่วนคือ KPI และ Competency
ยากนะ
หากใจไม่นิ่ง อาจเสียงบั่นทอนเกิดขึ้นในใจว่า เอาไปทำที่บ้านยังไม่ดีอีก อุตส่าห์มาแต่เช้ารีบๆ มาทำก็ยังโดนว่า กินข้าวแปล๊บเดียวเองอุตส่าห์รีบทำ ทำงานไม่เสร็จทำไมไม่เอาไปทำที่บ้าน มาแต่เช้าหน่อยสิ รีบๆ ทำ เหอะถ้าเป็นแบบนี้ไม่รีบทำแล้ว จะทำให้ช้าๆ ดูสิว่าเป็นอย่างไร ฯลฯ
คือสรุปว่าที่ทำมาน่ะดีแล้ว ขอขอบคุณ แต่เราจำเป็นต้องอธิบายและทำความเข้าใจบุคลากรทุกคนให้มากที่สุด
ทางแก้ของเราคือ กำหนดเกณฑ์ในเชิงปริมาณจะอยู่ในเกณฑ์ 3 ซึ่งเห็นพ้องร่วมกันว่าเป็นสิ่งมนุษย์สามารถกระทำได้โดยวิสัยและทำในเวลาราชการ ส่วนเกณฑ์ 4 และ 5 จะเป็นเกณฑ์ในเชิงคุณภาพ ทั้งในเรื่องของความถูกต้อง การส่งมอบตรงตามเวลา และหรือการคิดค้นแก้ไขปัญหาในการทำงานที่สามารถจับต้องได้ โดยดูจากบริบทขององค์กร ซึ่งหมายถึง เริ่มจากการมองความพร้อมของตัวเราเอง ความพร้อมของเพื่อนร่วมงาน ความพร้อมของคนที่รับงานต่อจากเรา หรือคนที่ส่งต่องานให้เรา งบประมาณ สถานที่ และกรอบของเวลาที่จะดำเนินงานตามข้อเสนอแนะ
สิ่งสำคัญคือ พร้อม เปิดใจและเคารพความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน
การตกแต่งความคิดที่อดีตผู้อำนวยการฯ ฝากไว้เป็นเรื่องที่ใช้ได้ทุกวันของการทำงาน 😛
ส่วนเกณฑ์ 3 ที่บอกว่าเป็นค่ากลางนั้น หากนำไปปฏิบัติแล้ว แล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะอาจน้อยไป หรือมากไป อาจจะนำเข้ามาทบทวน เพื่อนำข้อมูลไปเทียบเคียงกันเอง หรือกับหน่วยงานอื่นที่ทำงานในลักษณะเดียวกัน
สิ่งที่อย่าลืมคือยิ่งทำงานนั้นนานเท่าไร หมายความว่าความชำนาญจะต้องเกิดขึ้น และความชำนาญนั้นแสดงออกมาได้ทั้งปริมาณและคุณภาพ
เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ห้องสมุดดูบุคลากรภายใน สำนักหอสมุดกลางดูห้องสมุด มหาวิทยาลัยดูห้องสมุด สกอ./สมศ.ดูมหาวิทยาลัย กลุ่มประเทศอาเซียนดูมหาวิทยาลัย โลกดูกลุ่มอาเซียน ห้องสมุดอื่นๆ มาดูห้องสมุดเรา …. ทุกอย่างล้วนโยงใยกันหมด
ไม่ว่าใครจะดูใคร หากเราช่วยกันดูซึ่งกันและกันให้เป็นครอบครัว เราจะอยู่อย่างมีความสุขและแข็งแรง พร้อมรับทุกสถานการณ์
สวัสดีมีชัย เวลาไปเร็วเหลือเกิน อีกแค่เดือนเดียวจะเริ่มต้นศักราชแล้ว ปีนี้มหาอุทกภัย มหาวิทยาลัยเลื่อนเปิดเทอมไป 6 ธันวาคม 2554 แต่ชีวิตการทำงานทำงานของเราไม่เลื่อนไปอย่างเปิดเทอม เรายังต้องคิดและต้องทำทุกอย่างเป็นปกติ การทำงานของเราไม่ได้มาพร้อมกับเปิดเทอม…
ตอนนี้มหาสุดเซ็งเพราะไร้โอที ทำให้อุทิศตนให้กับราชการไม่ได้ จะอยู่กับคุณพี่ๆ น้องๆ สองสามคน ก็เหงาฮ่ะ
2 thoughts on “ค่ากลาง”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
เคยฟังท่านผู้รู้ท่านหนึ่งพูดถึงการแบ่งเวลาในชีวิต คนเรามีเวลา24ชั่วโมง (เหมือนที่พี่ปองเคยพูดเลย)เราต้องแบ่งให้ได้ว่า ช่วงเวลานี้เราดำรงสถานะเป็นผู้ปฎิบัติงาน(การทำงาน) ช่วงเวลานี้เราดำรงสถานะเป็นพ่อแม่(ครอบครัว)ซึ่งย่อมต้องมีการคาบเกี่ยวซึ่งกันและกัน แต่ต้องไม่กระทบซึ่งกันและกัน การเสียสละเพื่อการทำงานต้องไม่ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน การเสียสละเพื่อครอบครัวก็ต้องไม่ทำให้ที่ทำงานเดือดร้อน ที่คิดว่าเสียสละให้ทั้งที่ทำงานและครอบครัว คนอื่นเค้าอาจไม่ได้มองอย่างนั้นก็ได้
ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานรายบุคคล หรือKPIsรายบุคคล หากนำของหอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ไปเปรียบเทียบกับหน่วยงานอื่น แค่หน่วยงานภายใต้สำนักหอสมุดกลางก็ไม่ควรนำไปเทียบ เพราะอะไรที่พวกเราหรือคนกันเองทำ ไม่ดีทั้งนั้น ต้องของคนอื่นหรือนำเข้าจากต่างประเทศ จากต่างหย่วยงานดีไปหมด นี่คือวัฒนธรรมไทย สำหรับพี่แมวอะไรที่พวกเราทำดี ดีมาก ดี่ที่สุดหรือดีเด่น นับแต่พี่แมวบริหารจัดการหอสมุด ก็ได้เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรในหน่วยงานของเราตลอดมา ซึ่งก็ดีใจที่ทำได้ แม้ไม่มากเรื่องดังที่คิดก็ตามแต่ถือว่าทำได้นะได้แก่ การยกย่อง ให้เกียรติพวกเรากันเองว่า เก่ง ดี มีความสามารถ แต่ละคนเก่ง มีความสามารถแตกต่างกันเช่น ปองแผนและพัฒนางาน เอ๋ไอที หน่อยบริการ/ข้อมูลทางวิชาการ ใหญ่การเงิน เล็กอีเว้นท์และข้อมูล พัชฐานข้อมูล นกฐิดรรชนีและช่วยค้นข้อมูล ติ๋วบุคคล น้องพัสดุ ตาอาคาร วีสร้างสรรค์ ญานิทรรศการ เทพเสียง รสโสตฯ อ้อcat หนึ่งบริการ จิเงินล่วงเวลา จุ๋มสมาชิก บูรณ์และเกพิธีกร กอบ/มาร์ชจำคนแม่น มนตรีช่าง ป้าจันทรสวน ลุงนิตซ่อมหนังสือ ป้านูแม่บ้าน
เป็นต้น ที่ผ่านมาพวกเราจะเป็นวิทยากร ถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกัน จัดภูมิทัศน์ก็ออกแบบเองทำกันเองไม่จ้าง ขุดดินฟันหญ้ากวาดลานก็ทำกันเอง ร่วมแรงร่วมใจร่วมทีม สู้ สู้ด้วยกันมา 14 ปีเต็มแล้ว หลายคนคงจำกันได้ที่แมวแจ้งว่า หากชม /ยกย่องตนเองไม่ได้ ไม่ต้องทำอะไรต่อไป พี่แมวถือว่าเป็นการให้กำลังใจตนเองก่อนทำอะไรๆให้คนอื่นต่อไป สรุปว่าจากkpi ถึงความเก่ง ดี มีความสามารถของคนในหอสมุด เอวังค่ะ