ตั้งสติ……แล้วไม่เสียสตางค์
เหตุการณ์ที่จะมาบอกเล่านี้ต้องถือว่า เอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจในการใช้สติแก้ไขเหตุการณ์
เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อเช้าของวันที่ 1 พ.ค. 2552 เวลาโดยประมาณ 07.00 น. เศษ น้องสาวของดิฉันได้ขี่จักรยานยนต์ (เป็นรถ pop คันเล็กๆ เก่าๆ) เพื่อจะไปที่บ้านญาติที่ไม่ไกลกันนัก ซึ่งหากมองก็จะเห็นหลังคาบ้าน โดยปกติจะใช้วิธีเดินลัดผ่านร่องสวน แต่คืนก่อนฝนเกิดตกกระหน่ำอย่างหนักมาก ทำให้ไม่สามารถดินผ่านร่องสวนไปได้ จึงใช้วิธีการขี่รถแทน
เมื่อขี่รถออกมาจากบ้านก็ได้สวนทางกับรถคันหนึ่ง น้องสาวมองกระจกรถ ก็เห็นว่ารถคันนั้นได้วกย้อนกลับมา และเข้ามาทำทีสอบถามหาคนชื่อ “อ้วน” น้องสาวจึงจอดรถและให้ความช่วยเหลือ พยายามนึกให้ว่า หมู่บ้านเรามีคนชื่อนี้หรือไม่ แต่นึกเท่าไรก็นึกไมออกจึงบอกไปว่า “แถวนี้ไม่มีคนชื่อนี้” ชายคนนั้นยังบอกอีกว่า “คนชื่ออ้วนยังเป็นกะเทยนะ” น้องสาวบอกว่า “ถ้าเป็นกะเทย ยิ่งไม่มีเลย”
หลังจากถามไปถามมาสักครู่ ชั่วพริบตาชายดังกล่าวได้กลายร่างเป็นผู้ร้ายในบัดดล เปลี่ยนจากถามหาคน เป็นใช้คำพูดว่า “ส่งกำไลข้อมือมาเดี๋ยวนี้” น้องสาวตกใจมาก และคิดในใจว่า “ตูโดนเข้าแล้ว” จึงคิดทบทวน และเอาสติเป็นที่ตั้ง แล้วถอดกำไลส่งให้คนร้ายแต่โดยดี ไม่ขัดขืนอะไร เพราะรักชีวิต
แต่ขณะส่งกำไลให้คนร้าย ก็พูดกับคนร้ายว่า “จะเอาไปทำอะไรกำไรพระ” คนร้ายก็เปลี่ยนใจไม่เอาแล้วกำไล ให้ส่งโทรศัพท์มือถือมาแทน น้องสาวก็ส่งให้อีก แต่ก่อนให้ก็ต่อรองว่า “ขอซิมการ์ดเถอะเพราะมีข้อมูลที่สำคัญมาก” ขณะที่น้องสาวแกะซิมการ์ด คนร้ายก็บอกว่า “ไม่เอาแล้วโทรศัพท์” (เนื่องจากว่าโทรศัพท์นั้นเก่ามาก ประมาณว่า วางทิ้งไว้กลับมายังอยู่ที่เดิม) คนร้ายให้ส่งเงินมาแทน น้องสาวบอกว่า “ไม่มีเงินหรอกนะเพราะว่า ไม่ใช่คนรวย ถ้าเป็นคนรวย มีเงินเหลือเฟือคงไม่ ขี่รถคันเก่าๆ แบบนี้หรอก คงซื้อรถดีๆ แพงๆ ขี่ไปแล้ว”
คนร้ายคงเห็นสภาพดังกล่าวว่าจริง จึงบอกว่า “งั้นขี่รถไปส่งมันให้เลยป้อมตำรวจ” ( ซึ่งป้อมตำรวจนั้นห่างจากจุดเกิดเหตุ ประมาณหอสมุดกับหน้าประตูเพชรเกษมได้) และขณะขี่รถไปคนร้ายก็ขี่รถประกบคู่ไปตลอดเวลา ไม่เปิดโอกาสให้น้องสาวมองป้ายทะเบียนรถเลย แต่น้องสาวพอจะประมาณเค้าคนร้ายได้ว่า มีอายุช่วง 40 ปี เศษ ไม่ใช่วัยรุ่น และขณะขี่รถตีคู่กันไป คนร้ายยังพูดอีกว่า “ให้ขี่รถคุยกันไปประหนึ่งว่า เป็นคนรู้จักกัน ห้ามทำพิรุธให้รถคันอื่นที่ขี่สวนกันไปมา สังเกตเห็นได้ แล้วจะไม่ทำอันตรายใดๆ” (แสดงว่า ต้องเป็นคนร้ายมืออาชีพแน่ๆ) ระหว่างนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ของคนร้ายดังขึ้น 3 ครั้ง แต่คนร้ายไม่ยอมรับสาย คนร้ายบอกน้องสาวว่า “โทรศัพท์ไม่มีตังค์” จะมาเอาโทรศัพท์ของน้องสาวโทรออกแทน น้องสาวก็บอกว่า “โทรศัพท์ของตนนั้นตังค์ก็หมดเหมือนกัน ยังไม่ได้เติมเงินเลย” คนร้ายจึงยอมรับโทรศัพท์ของตน และเริ่มคุยโทรศัพท์กับคนที่โทรเข้ามา ทำให้น้องสาวเห็นว่าเป็นจังหวะดี จึงรีบขับรถห่างออกมาหาที่ชุมชน แล้วคนร้ายก็ขับเลยไป
น้องสาวเห็นว่า พ้นจากภัยอันตรายแล้ว จึงรีบบึ่งรถกลับบ้าน แล้วนำรถยนต์ขนาดมินิ มาส่งดิฉันให้ทันเวลาทำงานตามปกติ ก่อนเวลา 8.30 น. “โถ! เป็นเจ้ นะหรือ ช็อคตายไปตั้งแต่คนร้ายบอกให้ส่งของมีค่ามาแล้ว ถ้าขัดขืนจะยิง
5 thoughts on “ตั้งสติ……แล้วไม่เสียสตางค์”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
ถ้าเป็นป้าดวงเหรอน้ำตาร่วงก่อนเลยละ จะเกิดอะไรขึ้นก็ตามร้องไห้ไว้ก่อนเถอะเผื่อจะได้คะแนนสงสาร เศรษฐกิจแบบนี้มาทุกรูปแบบขอให้พวกเราระมัดระวังไว้กันนะ
น้อง ทำดีแล้ว หนูดวงทำแบบฉบับของตนเอง โดนยิงแน่ ก็โจรมีปืนไม่ใช่หรือ บางคนบอกว่าทำไมไม่ขี่เข้าบ้านใคร ก็ขนาดต้องผ่านบ้านตนเอง ผ่านป้อมตำรวจ ยังต้องยอมโจรเลย ก็มันสั่ง มันมีปืน แถมขี่รถประกบด้วย แหมก็น่าจะรู้ รถ POP นะเร็วขนาดไหนกันเชียว
เป็นการใช้สติได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ เดี๋ยวนี้ไม่ว่าเช้า สาย บ่าย ค่ำ โจรมันอาละวาดได้ทุกเวลา ต้องระมัดระวังกันหน่อย ขับรถหรือเดินตามทางต้องมั่นมอง ซ้าย ขวา หน้า หลัง ส่วนอ้อขับรถยนต์เวลาขึ้นรถปุบต้องล็อครถปรับ ถ้าลืมล็อคเกิดรถติดไฟแดงอยู่อาจได้ผู้โดยสารแปลกหน้าขึ้นรถมาโดยไม่รู้ตัว เพราะเคยมีครั้งหนึ่งดู รายการทีวีมีผู้หญิงมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า เค้าเป็นคนที่เวลาขึ้นรถต้องล็อครถจนติดเป็นนิสัย มีอยู่วันหนึ่งรถติดไฟแดงอยู่ เค้าได้ยินเสีงเหมือนคนดึงประตูรถจึงหันไปมองเห็นเป็นผู้ชาย 2 คน ซ้อนจักรยานยนต์อยู่ใกล้และมองเข้ามาในรถ และได้ยินเสียงพูดว่า รถล็อคอยู่ จึงคิดน่าจะเป็นคนร้ายที่ตั้งใจจะทำมิดีมิร้าย และอีกอย่างหนึ่งคือ การเปิดกระจกรถ บางครั้งก็ไม่ปลอดภัย เพราะอาจโดนอะไรฉีดเข้ามาได้หากขับรถไปคนเดียวแล้วติดไฟแดงอยู่
หลายๆๆๆ ปีก่อน ซ้อนท้ายแบบนั่งข้างเนื่องจากเป็นกุลสตรีแล้วก็ถือกระเป๋าตังส์สองใบ มีหนูเล็ก (นฤมล) เป็นคนขี่ไปตลาด ขากลับกลับ กลับทางสนามจันทร์พอก่อนถึงจวนผู้ว่า ช่าวงนั้นก็ดันเปลี่ยว มีวัยรุ่นสองคนขี่มอเตอร์ไซค์แบบตีคู่ คนซ้อนหันมาคว้ากระเป๋าตังส์จากมือ แต่เราไม่ยอมใช้ขาถีบแล้วก็ถีบ มือก็จับกระเป๋าตังส์แน่นแนบไว้กับอก เจ้าคนขี่ก็ต้องขับให้ห่างออกไป แต่ก้ไม่ละความพยายาม
ส่วนหนูเล็กไม่รู้เรื่อง… ถามว่า เป็นอะไร นั่งดีๆหน่อยฟะ บอกไปว่า มันจะเอากระเป๋าตังส์ ขณะที่พูดก็ต้องถีบ ถีบและถีบ… ส่วนหนูเล็กรู้ก็ช่วยกันถีบ หลังจากนั้นโปรดจินตนาการว่าเสียงของหนูปองและหนูเล็กผสมกันจะขนาดไหน ไอ้โจรมันเลยไป เจ้าหนูเล็กยังขี่ตามแต่ไม่ทันไปบอกตำรวจที่ป้อม ตำรวจบอกว่าแถวนี้บ่อย…
สองปีก่อนขับรถไปทาง สนง.ประกันสังคม เห็นสาวน้อยนางหนึ่งขี่มอเตอร์ไซต์ ขณะที่มีหนุ่มไปเมียงๆ มองๆ เราขับรถตามบอกลูกว่าไม่รู้ว่าเป็นแฟนกันหรือปล่าว ถ้าไม่ใช่ท่าทางจะเหมือนโจร พูดไม่ทันขาดคำเจ้าหนุ่มนั้นก็เชิดกระเป๋าที่วางไว้ที่ตะกร้า
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงค่อนข้างระวังกับกระเป๋าตังส์มาก เวลาไปตลาดก็จะหยิบเงินใส่ประเป๋ากางเกงหรือเสื้อไว้ล่วงหน้า จะไม่หยิบกระเป๋าตังส์มาเปิดให้ใครเห็น ฯลฯ
ไม่มีอาราย..เข้ามา Confirm
งานนั้น เจ๊ปองแกมือเหนียวจริงๆ แถมตรีนนนนน ไวอีกต่างหาก
โทษ2ทีเถอะ คนเดียว 18 หลอด 2 คน 36 หลอด
แต่คุณนายอารีที่ขี่เลยหน้าไปแล้วไม่ได้ยินเสียงตะโกนของเรา 2 คน
ขี่รถลอยหน้าลอยตาเฉยยยย..ซะงั้น พวกเรารึเป็นห่วง
กลัวเจ้าสองคนจะไปฉกเป๋าคุณนายเข้า
แล้วก็รอดมาได้…แต่รู้สึกว่าเย็นนั้น น้องเภสัชฯ รึคณะใกล้ๆ บ้านเรา
ใครซักคนเนี่ยล่ะ โดนแถวสนามจันทร์ เหมือนกัน ได้ไปด้วย
ก็ฝากบอกพวกเรา…ระวังตัวกันมากๆ
ไม่ว่าจะก่อนออกตัว อยู่บนถนน หรือจอดรอ อย่ามัวแต่เพลิน
ทุกยานพาหนะ มองซ้าย-ขวา บ้างก็ดีจ้ะ