Scaffolding

คำว่า Scaffolding ได้มาจากการอ่านรายงานการปฏิบัติงานของบรรณารักษ์ท่านหนึ่ง ที่เขียนรายงานว่ามีผู้ใช้มาค้นเรื่องนี้ ….
จึงอดไม่ได้ที่จะค้นคว้าต่อ เพราะงานแบบนี้ตัวเองถือว่าเป็นหน้าที่ของบรรณารักษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานด้านบริการจะต้องรู้สึุกตื่นเต้นและอยากค้นหา แบบเข้ากระแสเลือด
และแนวคิดของตัวเองอีกอย่างหนึ่งคือ คำถามของคนหนึ่งคน เป็นตัวเแทนของคำถามของคนหลายๆ คนที่เค้าอาจจะไม่ได้เดินมาหาเรา ยิ่งเราสามารถนำไปเชื่อมโยงและคิดต่อ ตามที่พยายามกำหนดไว้ใน KPI แล้ว ยิ่งเป็นเรื่องสนุก
สำหรับคำถามที่ ได้มาก้อช่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เพราะเราก้อไม่รู้เหมือนกัน ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นนักสืบ หรือจินตนาการว่ากำลังทำการบ้านให้ลูก (แม้จะไม่เคยเกิดในชีวิตจริงก้อตาม)
สำหรับ คำถามนี้พอไปค้นมาพบว่า Scaffolding แปลว่า นั่งร้าน พอไปค้นที่ LC Subject Heading พบว่ามีคำนี้อยู่ และอยู่ในหมวด TH ฉะนั้นจงอย่าผลีผลามตัดสินใจต่างหากว่าหัวเรื่องคืออะไร และอยู่หมวดไหน
คู่มือทุกอย่างคือแนวทางที่ไม่ใช่คู่ชีวิต … (บางที่คู่ชีวิตยังต้องตรึกตรองเช่นกัน)
การจะเลือกใช้และใช้อะไรคงต้องระวัง  โปรดกลับไปอ่านเรื่องทฤษฎี 3 A
ค้นไปค้นมาจากกูเกิ้ล พบข้อมูลมากมาย นึกไปถึงอดีตว่าหากไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีกูเกิ้ล ชีวิตเราจะเป็นเยี่ยงไร และคิดต่อไปว่าถึงจะมีเจ้าสองอย่างที่ว่าหากไม่มีมนุษย์ผู้ใดเลยเขียน เนื้อหาขึ้นมาแบ่งปันเราจะทำเยี่ยงไร
หากเมื่อหลายๆ พันปีที่ผ่าน บรรพบุรุษของมนุษย์ที่ประทับรอยมือ หรือขีดเขียนอะไรบนถ้ำ เราคงไม่เห็นอะไรๆ ในสมัยนั้น  สงสัยเหลือเกินว่าคนที่เขียนแบบนั้นในสมัยโน้น จะโดนตีมือหรือไม่ว่าซนเกินพิกัด
ด้วยความที่ Scaffold หรือ Scaffolding แปลว่า นั่งร้าน ยิ่งทำให้ตัวเองโดยสัญชาตญาณว่า คงไม่มีใครมาหาอะไรแบบตรงไปตรงมาแบบนั้น
ใน ที่สุดก้อได้ความว่าเป็นเทคนิคการสอนแบบหนึ่ง ที่มีผู้ให้คำจำกัดความไว้หลายท่าน เช่นกระบวนการสอนแบบเอื้ออาทร ซึ่งเป็นกลุ่มของกระบวนการเชิงปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน (http://www.vcharkarn.com/vcafe/172148)

หรือใช้ว่า การเสริมต่อการเรียนรู้ จาก http://hu.swu.ac.th/updoc/การเรียนรู้ในพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ.doc
ที่ นี่มีเอกสารให้โหลด พออ่านแล้วสรุปได้ว่า Scaffolding มาจากแนวคิดของไวก็อตสกี้เรื่องพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ และการเสริมต่อการเรียนรู้ ไวก็อตสกี้เป็นนักจิตวิทยาชาวรัสเซีย เชื้อสายยิว เกิดในปี ค.ศ. 1896 ปีเดียวกันกับเพียเจต์ (Jean Piaget)
ไวก็อตสกี้ (Lev Semenovich Vygotsky) มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ซึ่งเขาได้อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้และพัฒนาการ และเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในวงการการศึกษาของเด็กปฐมวัยและพัฒนาการเด็ก ว่าเด็กเรียนรู้และพัฒนาความคิดความเข้าใจตนเองได้อย่างไร ต่อมาบรูเนอร์ริเริ่มนำมาเผยแพร่ ขยายความ และมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก คือ การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding)
แนวทางที่ไวก็อตสกี้เสนอไว้ และต่อมาบรูเนอร์ริเริ่มนำมาเผยแพร่ ขยายความ และมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก คือ การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) ซึ่งอธิบายไว้ดังนี้
การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) หมายถึง บทบาทเชิงปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ที่ให้การช่วยเหลือด้วยวิธีการต่างๆ ตามสภาพปัญหาที่เผชิญอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหานั้นด้วยตนเองได้ โดยเป็นการจัดเตรียมสิ่งที่เอื้ออำนวย การให้การช่วยเหลือ แนะนำ สนับสนุน ขณะที่ผู้เรียนกำลังแก้ปัญหาหรือกำลังอยู่ในระหว่างการเรียนรู้เรื่องใด เรื่องหนึ่ง (ผู้เรียนกำลังอยู่ในพื้นที่รอยต่อพัฒนาการ) ทำให้ผู้เรียนต้องสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาอย่างเป็น ขั้นตอน และปรับการสร้างความรู้ความเข้าใจภายในตน (Internalization) ให้กลายเป็นความรู้ความเข้าใจใหม่ภายในตนเอง ซึ่งจะส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียน ให้ก้าวไปสู่ขั้นหรือระดับพัฒนาการที่สูงขึ้นไป ทำให้ผู้เรียนสามารถกำกับตนเองในการเรียนรู้ และมีความเชื่อมั่นในตนเองในการเรียนรู้ที่เพิ่มมากขึ้น
วูด บรูเนอร์ และโรส (Wood, Bruner & Ross. 1976) ได้เสนอวิธีการช่วยเสริมต่อการเรียนรู้ไว้ 6 ประการ คือ
1. การสร้างความสนใจ (Recruitment) กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยความสมัครใจ โดยผู้เรียนจะต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของงานหรือการเรียนรู้นั้น
2. ลดระดับการเรียนรู้ที่ไร้หลักการ ระเบียบ หรือกฎเกณฑ์ (Reduction in degree of freedom) เพราะจะทำให้ยากต่อการจัดการหรือการให้ความช่วยเหลือ ดังนั้น ผู้สอนจะต้องสะท้อนผลการเรียนรู้ (Feedback) เป็นระยะๆ สม่ำเสมอ ต่อเนื่องกัน เพื่อให้ผู้เรียนนำผลไปใช้เพื่อเพิ่มระดับการเรียนรู้ในแต่ละขั้นได้อย่าง ถูกต้อง
3. รักษาทิศทางการเรียนรู้ (Direction maintenance) ผู้สอนต้องดูแลกวดขันผู้เรียนเป็นพิเศษเพื่อให้เรียนรู้ที่จะมุ่งไปสู่จุด มุ่งหมายตั้งไว้
4. กำหนดลักษณะสำคัญที่ควรพิจารณาของสิ่งที่จะเรียนรู้ให้เด่นชัด (Marking critical features) เช่น ผู้สอนเมื่ออธิบายเนื้อหาสาระบางอย่างที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ก็ควรเน้นเสียงเป็นพิเศษ หรือหากผู้เรียนเกิดความขัดแย้งในการทำความเข้าใจสิ่งที่เรียนรู้ ผู้สอนควรแปลความหมายของเรื่องที่กำลังเรียนรู้นั้นๆ เสียใหม่ ด้วยภาษาที่ให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายๆ และถูกต้องตรงกัน
5. ควบคุมความคับข้องใจของผู้เรียน (Frustration control) รับรู้ต่ออารมณ์ของผู้เรียนที่แสดงออกมา เช่น ผู้สอนต้องยอมรับความรู้สึกของผู้เรียนกรณีที่เขาเกิดความไม่เข้าใจสิ่งที่ กำลังเรียนรู้ ไม่ควรเพิกเฉยหรือปล่อยให้ผู้เรียนมีความรู้สึกที่ค้างคาใจ เพราะจะทำให้ผู้เรียนมีความคับข้องใจเพิ่มมากขึ้น
6. ควรมีการสาธิต (Demonstration) หรือมีแบบอย่างให้กับผู้เรียนในการแก้ปัญหาการเรียนรู้
ส่วนข้างล่างนี้เป็นบรรณานุกรมจ้า …. รูปแบบอาจจะเพี้ยนๆไปหน่อยเพราะพื้นที่ blog จำกัด..
ประสิทธิ์ ศรีเรืองฤทธิ์. (2549). การใช้แนวคิดเรื่อง พื้นที่รอยต่อพัฒนาการ (Zone of  Proximal Development) ของวิก็อตสกี้ เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักศึกษาระดับอุดมศึกษา. วิทยานิพนธ์ ศษ.ด. (หลักสูตรและการสอน). ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
Bransford, J., Brown, A.; & Cocking, R. (2000). How People Learn : Brain, Mind, and Experience & School.  Washington, DC: National Academy Press.
Daniels, H. (1996). An introduction to Vygotsky. London:Routledge.
Dixon-Krauss, L. (1996). Vygotsky in the classroom : Mediated literacy instruction and assessment. New York:Longman.
Raymond, E. (2000). Cognitive Characteristics. Learners with Mild Disabilities. Needham Heights, MA: Allyn & Bacon, A Pearson Education Company.
Shaffer, D. (1999). Developmental psychology:childhood & adolescence. (5th edition). Pacific Grove:Brooks/Cole.
Vygotsky, L. (1978). Mind in society:The developmental of higher psychological process.Cambridge, MA:Harvard University Press.
Wing, J.; & Putney, L. (2002). A vision of Vygotsky. Boston:Allyn & Bacon.
Wood, D.; Bruner, J.; & Ross, G. (1976). The role of tutoring in problem-solving. Journal of Child Psychology and Psychiatry. 17(2):89-100.
………………..
มหาวิทยาลัยศิลปากรเปิดสอนทางด้านการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก มีทฤษฎีการศึกษาที่ผ่านหูผ่านตาเรามากมาย หากเราเก็บงำคำถาม และทบทวนคำตอบ ช่วยกันคิดต่อ จึงเป็นเรื่องที่สร้างความเข้มแข็งให้กับพวกเรา ในฐานะที่เราเป็นสื่อกลางระหว่าง content กับ ผู้ใช้บริการ
เป็นสื่อกลางไม่ว่าจะอยู่ในบริบทของผู้ให้บริการ หรือผู้วิเคราะห์เลขหมู่และทำรายการ หรือบทบาทสมมุติอื่นใด ที่จำเป็นต้องส่งสาร แปลความ และแปรเป็นกระบวนการทำงานให้สอดคล้อง เชื่อมโยง พึงพา แลกเปลี่ยน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
KPI ระดับ 4-5 แล้ว ถึงเราจะไม่ใช่กระทิงแดง แต่ก็มีไว้เอาให้พุ่งชน ….น่าจะสนุกกว่ามีไว้แล้วไม่รู้ว่ามีไว้ทำไม ………….

One thought on “Scaffolding

  • เห็นด้วย กับที่ว่า วิชาชีพนี้ ต้องมีกระบวนการทำงาน เชื่อมโยง สอดคล้อง พึ่งพา แลกเปลี่ยน และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จะอยู่โดดเดี่ยวเฉยๆไม่ได้ ต้องช่วยกันคิด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กร โดยเราจะเริ่ม ณ บัดเดี๋ยวนี้ …

Leave a Reply

Tags

blog CONSAL KPI PULINET การจัดการความรู้ การดูแลสุขภาพ การทำงาน การท่องเที่ยว การบริการ การปฏิบัติงานล่วงเวลา การประชาสัมพันธ์ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากร การลงรายการ การศึกษาดูงาน การอ่าน การเรียนออนไลน์ กิจกรรมสำหรับเด็ก กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กิจกรรมห้องสมุด ความสุข ค่ายห้องสมุด งานบริการ ธรรมะ นวนิยาย นักเขียน บรรณารักษ์ บริการชุมชน ประกันคุณภาพ ภาพถ่าย ภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ วัด วันสำคัญ วารสาร สัมมนา สุขภาพ หนังสือ หนังสือบริจาค หนังสือและการอ่าน หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ ห้องสมุด ห้องสมุด 24 ชั่วโมง อาหาร