อวสานเครื่องพิมพ์ดีด
“เครื่องพิมพ์ดีด” คนรุ่นใหม่ในยุคคอมพิวเตอร์ครองโลกคงนึกหน้าตาไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร ใช้อย่างไร เพราะปัจจุบันมันเป็นเครื่องใช้สำนักงานที่ล้าสมัยไปซะแล้ว ทั้งๆที่เมื่อก่อนเจ้าเครื่องพิมพ์ดีดนี่ถือเป็นเครื่องมือหลักและเป็นหัวใจของสำนักงานทุกแห่งไม่ว่าราชการหรือเอกชน รวมถึงประชาชนคนทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้เจ้าเครื่องนี้บางสาขาอาชีพ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป เครื่องพิมพ์ดีดที่ใช้กันมานับร้อยปีก็ต้องยุติการผลิตปิดตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคหันไปใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและรวดเร็วกว่า พร้อมกับการพัฒนาเทคนิคต่างๆออกมาสนองความต้องการอย่างต่อเนื่อง ขอย้อนถึงประวัติของเครื่องพิมพ์ดีดให้ทราบกันไว้สักนิด
เครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรกนั้นผลิตขึ้นที่สหรัฐฯในปีค.ศ. 1867 ส่วนเครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยของเรานั้นเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเอ็ดวิน ฮันเตอร์ แมคฟาร์แลนด์ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันและเข้ามารับราชการในสมัยนั้น
แต่ครั้งแรกที่สร้างเครื่องพิมพ์นั้นมีแป้นอักษรถึงเจ็ดแถว ไม่สามารถพิมพ์สัมผัสอย่างปัจจุบันได้ ต้องพิมพ์โดยใช้นิ้วจิ้มทีละแป้น ต่อมาได้ปรับปรุงจนเหลือแป้นอักษรเพียงสี่แถวออกแบบจัดวางตำแหน่งอักษรให้พิมพ์ได้ถนัดและรวดเร็วสามารถเลื่อนและยกแคร่อักษรได้โดยเรียกว่าแป้นเกษมณี ตามนามสกุลของผู้ออกแบบคือ สุวรรณประเสริฐ เกษมณี ในปีพ.ศ. 2474 และแป้นพิมพ์นี้ยังคงได้รับความนิยมมาจนทุกวันนี้ และได้กลายมาเป็นแป้นพิมพ์มาตรฐานสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ขณะนี้นั่นเอง
สำหรับบริษัทที่ผลิตเครื่องพิมพ์ดีดที่คนไทยรู้จักและคุ้นชื่อที่สุดก็คือ “โอลิมเปีย” มีแบบกระเป๋าหิ้วด้วยพกพาไปใช้ได้สะดวกในทุกที่ (เหมือนเครื่องโน้ตบุ๊คปัจจุบันนั่นแหละ) ต่อมาได้พัฒนาเป็นเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า แต่ใช้ได้ไม่นานเท่าไรนักก็มีเจ้าคอมพิวเตอร์มาแทนที่ เครื่องพิมพ์ดีดดั้งเดิมจึงหมดบทบาทไปโดยปริยายถูกเก็บเข้ากรุหรือถูกจำหน่ายออกไปจากสำนักงาน จนแทบหาดูไม่ได้อีกต่อไป คงเหลือไว้เป็นตำนานและเป็นความทรงจำของคนรุ่นเก่าที่กว่าจะสอบเข้ามาทำงานได้ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวรัวแป้นพิมพ์ดีดเสียงดังประหนึ่งข้าวตอกแตกให้ผ่านเกณฑ์ของแต่ละสำนักงานที่กำหนดมาตรฐานไว้ ต้องผ่านการเรียนพิมพ์สัมผัสจากสถาบันหรือโรงเรียนสอนพิมพ์ดีดที่สมัยก่อนนั้นมีเปิดบริการสอนกันอย่างเฟื่องฟู และปัจจุบันก็ปิดตัวไปหมดตามเครื่องพิมพ์ดีดเช่นกัน
แต่เท่าที่ทราบในหน่วยงานบางแห่งก็ยังคงใช้เครื่องพิมพ์ดีดแบบดั้งเดิมอยู่เช่น ตามศาล หรือสถานีตำรวจบางแห่งยังมีให้เห็น สำหรับคนทำงานห้องสมุดเรานั้นเรียกว่าเกือบจะทุกคนต้องพิมพ์ได้แน่นอนแทบทุกระดับแต่ใครจะเป็น”เซียน”รุ่นเก๋านี่ต้องอดใจรอเจ้าตัวเขามาเฉลยเองดีกว่า…
9 thoughts on “อวสานเครื่องพิมพ์ดีด”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
ยากนะวิชานี้ ตอนมาทำงานใหม่เห็นพวกพี่ๆ รัวเป็นข้าวตอกแตกแล้วทึ่งจริงๆ สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครพิมพ์อะไรยาวๆ รัวๆ ให้เห็นกันแล้ว หากเป็น copy cut paste ละคล่อง วันก่อนจะเติมข้อความในแบบฟอร์ม พอเห็นขั้นตอนตั้งแต่ต้องลากเครื่องออกมา เปิดเครืื่อง ฟื้นฟูความจำ ฯลฯ เลยบอกว่า พอเหอะทำฟอร์มใหม่ง่ายกว่า …
ที่โรงเรียนเจ้าแตงโมยังมีสอนอยู่ เค้าสอนเป็นพื้นฐานให้เด็กม.1 ที่บ้านมีอยู่เครื่องหนึ่ง สงสัยต้องไปปัดฝุ่นดูว่ายังใช้ได้ปล่าว ซื้อมาตั้งแต่เรียน ม.4 (พ.ศ.2527)จำได้ว่ายี่ห้อโอลิมเปีย ยังใส่เก็บไว้ในกล่องเดมิเลย
จำได้ว่าเมื่อเข้ามารับราชการใหม่ ต้องพิมพ์บันทึกข้อความเอง และในฝ่ายงานก็จะมีเครื่องพิมพ์ดีดอยู่ 2 เครื่อง ภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ แถมเครื่องที่ว่านี้ยังมีโต๊ะและเก้าอี้จัดเข้าเป็นชุดอีกต่างหาก ต่อมาได้บ๊าย…บาย เครื่องพิมพ์กันไปแล้ว แต่เก้าอี้นั่งพิมพ์ดีด ยังอยู่นะจ๊ะ ยังใช้งานได้ดีที่สุด
หัวหน้างานวิชาการและหัวหน้าฝ่ายบริการ(ปอง) หลายๆเครื่องที่เคยนำแสดงไว้ส่วนทางเชื่อมเพื่อให้ผู้ใช้หอสมุดรุ่นใหม่ ได้เห็น และวิพากษ(เมาท์)กัน อยู่ที่ไหน ฝ่ายโสตฯหรือ งานธุรการ นำกลับมาแสดงอีกก็น่าจะดีนะ จัดแข่งพิมพ์ดีดให้รางวัลแก่นักศึกษาที่ชนะ คิดว่านักศึกษาใช้netซึ่งก็จิ้มพิมพ์ได้อยู่แล้ว ก็ให้ลองพิมพ์และจับเวลาก็น่าจะดี
จำได้เครื่องพิมพ์ดีดโอลิมเปีย ตอนสอบเข้าทำงานตำแหน่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวที่โรงเรียนสาธิตเจอทดสอบความเร็ว พี่นวลศรีเอาข้อสอบมาให้พิมพ์ แทบแย่ ต้องเร็วถ้ารัวมากแป้นอักษรก็จะติดกันเป็นระนาว ปัดแคร่แต่ละครั้งเครื่องแทบจะพัง ความเร็วที่ทดสอบต้องไม่ต่ำกว่า 35 คำ : นาที ถึงจะผ่าน ขอบคุณที่โอลิมเปียช่วยไว้ ทุกวันนี้ถึงจะใช้คอมพิวเตอร์แต่ก็ยังคิดถึงอยู่ โอลิมเปียทำให้เรามีงานทำทุกวันนี้
เมื่อเข้ามาอ่านในบล๊อกนี้ ทำให้นึกถึงอดีต เพราะกว่าจะได้มาถึงทุกวันนี้ได้ ก็มาจากเครื่องพิมพ์ดีดนี้แหละ ที่ทำให้มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ทั้ง ๆ ที่เรียนจบมาทางสายครูแท้ ๆ แต่ไม่ได้ไปเป็นครูสอนหนังสือ เมื่อจบครู ปกศ.ต้น ก็ไม่ได้เรียนต่อ
ปกศ.สูง และอยู่ระหว่างหางานทำ ได้ไปสมัครเรียนพิมพ์ดีดที่ร้านสอนพิมพ์ดีดในเมืองนครปฐม ทำให้เรามีความมุ่งมั่นที่จะต้องตั้งใจเรียน อดทน ขยันฝึกพิมพ์ ให้เป็นเร็วให้ได้ เพราะจะได้มีงานทำ ยังจำได้ว่า อยากจะเป็นเร็ว เมื่อกลับไปบ้าน นำกระดาษมา 1 แผ่น แล้วเขียนแป้นพิมพ์ดีดลงในกระดาษ แล้วก็ใช้นิ้วมือจิ้มตัวอักษรตามที่ได้ไปฝึกเรียนมา และออกเสียงตาม บทแรกยังจำได้แม่น ว่า ฟ ห ก ด เอก (ไม้เอก) อา (สระอา) ส ว จะทำอย่างนี้ทุกวัน จนในที่สุด พิมพ์สัมผัสได้อย่างรวดเร็วทุกแป้นในเวลา 1 เดือน สิ่งนี้แหละที่เป็นความรู้ติดตัวเราไป ในที่สุดก็สอบเข้าทำงานได้ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่พิมพ์ดีด ความขยันหมั่นเพียร ความอดทน ที่ทำให้ดิฉันมีงานทำถึงทุกวันนี้ และยังสร้างรายได้เสริมให้อีก ดิฉันยังจำได้ ซื้อเครื่องพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้ว ยี่ห้อโอลิมเปียมาเครื่องหนึ่ง ราคาประมาณ 4000 กว่าบาท และเครื่องนี้แหละที่ทำรายได้ให้ดิฉัน ในขณะที่ดิฉันเข้าทำงานครั้งแรกได้เงินเดือนเพียง 650 บาท ดิฉันรับจ้างพิมพ์รายงาน จนได้เงินหมื่น จึงรวมซื้อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าได้
และยึดเป็นอาชีพรอง ซึ่งรายได้ดีพอสมควรนะ สมัยก่อนรับจ้างพิมพ์แผ่นละ 2-3 บาทเท่านั้น แต่ปัจจุบันโลกได้พัฒนาไปไกลแล้ว มีคอมพิวเตอร์ใช้เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ที่ดิฉันเล่าให้ฟังนี้ ก็เพราะว่าดิฉันภูมิใจที่ดิฉันมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะเครื่องพิมพ์ดีดนี้แหละ ท้ายนี้ดิฉันก็ยังเป็นมือโปรอยู่นะจะบอกให้
เครื่องพิมพ์ดีดธรรมดา ดิฉันเห็นตั้งโชว์เป็นของเก่าอยู่ที่ฝ่ายโสตฯ สำหรับเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า ทำไปทำมาก็ไม่ได้นำมาใช้ กี่เครื่องกี่เครื่องก็มีปัญหาในการใช้ เสียบ่อย ใช้งานไม่สะดวก บางครั้งจะเติมข้อความ ตัวเลข ตัวอักษร สัก 2-3 ตัว หาพิมพ์ดีดพิมพ์ไม่ได้ เมื่อไฟฟ้าดับก็ไม่สามารถพิมพ์งานได้ ทำให้อยากจะกลับมาใช้เครื่องพิมพ์ดีดธรรมดา สะดวกกว่าเป็นไหน ๆ ดิฉันเห็นหน่วยงานหนึ่งที่ยังคงใช้พิมพ์ดีดธรรมดา พิมพ์เอกสาร ก็คือ สำนักงานที่ดิน ก็เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ในการพิมพ์เอกสาร ตราบใดที่เราทำงานเกี่ยวข้องกับเอกสาร เครื่องพิมพ์ดีดก็ยังมีความสำคัญกับเราตลอด
นี่ไง เซียนหรือมือโปร นักรัวแป้นพิมพ์ดีดรุ่นเก๋าตัวจริงของเราเผยโฉมมาแล้ว!!ขอบคุณพี่ตาค่ะที่มาร่วมระลึกตำนานเครื่องพิมพ์ดีด เครื่องมือทำงานอันแสนวิเศษและคลาสสิกเมื่อหนหลัง และยังเป็นเครื่องมือที่สามารถหารายได้เสริมได้เป็นอย่างดีอีกด้วยสำหรับคนที่พิมพ์เก่งๆ ที่สำคัญคือทำให้มีงานทำมีรายได้เลี้ยงตัวและครอบครัวจริงด้วยค่ะ
พี่ตาขอแก้ข่าวนิดหนึ่ง ที่ว่าได้เงินเดือนครั้งแรกที่สอบบรรจุได้ เป็น 955 บาท จ้า ไม่ใช่ 650 บาท แต่650 นี้เป็นเงินเดือนที่เข้าทำงานครั้งแรกที่วิทยาลัยครูนครปฐม ประมาณปี พ.ศ. 2520 และมาสอบบรรจุได้เป็นเจ้าหน้าที่พิมพ์ดีด 1 ในปี พ.ศ. 2521 ที่หอสมุดฯ ของพวกเรานี้แหละ สมัยที่บรรจุ เรียกว่า แผนกห้องสมุดฯ วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ มือพิมพ์รุ่นก่อนหน้าที่ตา คือ พี่จิ และรุ่นหลังพี่ตา คือ พี่อ้วน เราทั้ง 3 คน อยู่หน่วยเทคนิค พิมพ์บัตรรายการและงานพิมพ์ของราชการทุกชนิด เราเป็นมือโปรทั้ง 3 คน และเราทั้ง 3 คน ก็มีการพัฒนาตนเองมาโดยตลอด จนในปัจจุบัน พี่ตาและพี่จิ ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไปชำนาญการแล้ว ส่วนพี่อ้วน เป็นผู้ปฏิบัติงานชำนาญงาน แต่เราก็ยังไม่เคยลืมตำแหน่งเดิมของพวกเรานะ เรารักในอาชีพเดิมของพวกเรามาก ที่ทำให้พวกเรานึกอดีตอยู่ตลอดเวลา ที่เราทำงานอยู่ร่วมกันกับเพื่อน ๆ ทุกคนในสมัยนั้น ซึ่งก็มีทั้งรัก ทั้งชัง ทั้งหวาน และขมขื่น แต่ทุกคนก็ยังรักกันเหมือนเดิม