อ่านหนังสือหอสมุด SUS วันละเล่ม
ความสุขของสมเด็จพระเทพฯ เป็นหนังสือที่เขียนโดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ รวบรวมเรื่องเล่าอันเป็นที่มาแห่งความสุขของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์จนถึงปัจจุบัน เรื่องต่างๆ ของพระองค์นั้นมีที่มาและเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเราชาวไทยปิติสุขทำให้รู้สึกเหมือนได้มีโอกาสใกล้ชิดสมเด็จพระเทพฯ ผู้เป็นที่รักเทิดทูนของชาวไทยตลอดเวลา ในส่วนของคำนำ ผู้เขียนเล่าว่า
ความดีสุดยอด (Supreme Good) ในโลกนี้ตามที่นักปราชญ์ชาวกรีกผู้ยิ่งใหญ่สองท่านที่เป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ ต่างได้สอนไว้เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ดังนี้่คือ
เพลโต (อาจารย์) สอนว่าความยุติธรรม (Justice) คือความดีสุดยอด ส่วนอริสโตเติ้ล (ลูกศิษย์) ผู้เป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชอีกทีหนึ่งกลับสอนว่า ความดีสูงสุดในโลกนี้ (Supreme Good) คือ ความสุข (Happiness)
ทั้งเพลโตและอริสโตเติ้ลได้รับการยกย่องว่าเป็นสองนักปราชญ์อมตะของโลกเนื่องจากเมื่อมีใครก็ตามในโลกนี้ได้อ้างถึงสิ่งที่เป็นความดีที่สุดในโลก (Supreme Good) ก็หนีไม่พ้นเรื่องความยุติธรรม และความสุขเพียง ๒ อย่างเท่านั้น มิได้มีอะไรเป็นที่ยอมรับใหม่ขึ้นมาอีกเลยตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมา
ความดีสุดยอดนั้นคนเราต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่งตามตัวอย่างจากพระราชนิพนธ์แปล “เวนิสวาณิช” ของล้นเกล้า รัชกาลที่ ๖ ทรงแปลมาจาก The Merchants of Venice ของวิลเลียม เช็คสเปียร์ ที่ว่า
“ฉะนั้นยิว , แม้อ้างยุติธรรม
จงกำหนดจดจำไว้ด้วยว่า
ในกระแสแห่งยุติธรรมา
ยากจะหาความเกษมเปรมใจ”
คนเรามักจะนับถือความยุติธรรมแต่รักที่จะมีความสุข ครั้นเมื่อต้องเลือกจริง แล้ว คนส่วนมากจะเลือกเอาความสุขมากกว่า ซึ่งเราสามารถเห็นตัวอย่างที่แจ่มชัดได้จากกรณีดังต่อไปนี้
ผู้เขียนสอนวิชารัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มานานร่วม ๔๐ ปี ซึ่งก็ได้พบและมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มสาวเป็นจำนวนไม่น้อยที่มีความมุมานะและคลั่งไคล้ในลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมมาร์กซิสม์ เนื่องจากนิยมในความเสมอภาคที่ยุติธรรมของลักธินี้ ซึ่งผู้เขียนก็มักให้ข้อคิดแก่ลูกศิษย์เหล่านี้ว่า
เนื่องในโอกาสครบรอบ ๖๐ ปี การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้จัดกิจกรรมคัดเลือก ” ๑๐ อันดับ มิตรชาวต่างชาติของจีน ความผูกพันกับจีน” โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงได้รับเลือกเป็น ๑ ใน ๑๐ อันดับมิตรชาวต่างชาติของจีนด้วยคะแนนสูงเป็นอันดับ ๒ โดยทรงได้รับคะแนนโหวตจากชาวจีนทั่วประเทศถึงกว่า ๒ ล้านคะแนน
ในขณะเดียวที่ประชาชนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวที่ปกครองแบบสังคมนิยมมาร์กซิสม์โดยพรรคคอมมิวนิสต์ลาวต่างก็รักและชื่นชมในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมาีรี อย่างเหลือล้น
เพราะอะไรหรือ ?
เพราะว่าสมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นคนดีและคนดีย่อมมีความสุขซึ่งความสุขที่เป็นความดีสุดยอดนั้นได้เผย (reveal) ออกมาใ้้ห้คนทั้งผองได้ประจักษ์และก็เป็นสัจจธรรมที่ยอมรับกันทั่วๆ ไปว่า “ใคร ๆ ก็รักพระเทพฯ”
ในหนังสือ ได้รวบรวมความสุขต่างๆ ของสมเด็จพระเทพฯ อันเป็นที่รักเทอดทูนของพสกนิกรที่บรรดาผู้คนต่างมีประสบการณ์และบันทึกไว้ด้วยความปิติสุขอันควรที่จะแบ่งปันกันชื่นชมตามประชาคนที่รักบูชาสมเด็จพระเทพฯ
เหตุที่ต้องคัดลอกคำนำมาให้อ่าน เหตุผลเพราะ หัวใจของหนังสือ คือ ” คำนำ”
😕 “ความสุขของสมเด็จพระเทพ”
เล่าถึงเมื่อครั้งพระองค์่ท่าน ทรงพระอักษรระดับปริญญาเอก อยู่ที่ มศว.(ประสานมิตร) สาขาพัฒนศึกษาศาสตร์ บรรดาพระสหายร่วมชั้นได้จัดกิจกรรม “ติว” สำหรับการทบทวนวิชาเพื่อเตรียมสอบข้อเขียนเบื้องต้น ตามความคิดที่ว่า “รวมกันเราอยู่แยกหมู่เราม้วย” ซึ่งการสอบนี้มีุขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนรู้ตัวว่ายังจะเรียนต่อไปไหวหรือไม่ หากสอบผ่านก็เรียนต่อไปจนจบหลักสูตร
ซึ่งกิจกรรมนี้่สมเด็จพระเทพฯ ได้เสด็จมาร่วมทุกครั้ง พระองค์มีกระแสรับสั่งกับสหายทั้ง ๑๐ คนว่า
“สิ่งที่คนเราทำให้กับตัวเอง มีอยู่ ๒ อย่าง คือ การกิน กับการเรียนหนังสือ นอกนั้นทำให้แก่ผู้อื่นทั้งนั้น”
พระราชดำรัสเมื่อครั้งนั้น สร้างความฉงนให้กับพระสหายทุกคนเนื่องจากฟังดูแล้วก็หมายความว่าความสุขของคนเราเพื่อตัวเราเองก็มีอยู่แค่การกินและการเรียนหนังสือเท่านั้น ส่วนนอกนั้นเป็นกิจกรรมเพื่อคนอื่น และส่วนรวมทั้งนั้น
😆 ส่วนอีกเรื่องเป็นเรื่องเล่าจากผู้โดยสารรถไฟฟ้า BTS ระหว่างสถานีสยามถึงพร้อมพงษ์ที่ได้พบสมเด็จพระเทพฯ และคณะของพระองค์ ก่อนหน้านี้พสกนิกรได้พบสมเด็จพระเทพฯ เสด็จพระราชดำเนินที่ ห้างสยาม Discovery เป็นการส่วนพระองค์ ในขณะที่ประทับที่พระตำหนักวังสระปทุม และบางครั้งก็เสด็จ ฯ ห้าง Emporium และร้านหนังสือ Kinokuniya พสกนิกรได้เห็นพระองค์ท่านอ่านหนังสือนานมากๆ การเสด็จฯ นั้นกระทำเป็นการส่วนพระองค์โดยสารรถไฟฟ้า BTS กับพระสหายและนางสนองพระโอษฐ์สองสามคนเท่านั้น
โดยไม่คำนึงว่าเป็นวันหยุด รถไฟฟ้าที่แน่นเอี๊ยด พสกนิกรโดยสารรถไฟฟ้าล้วนแต่จำพระองค์ได้ทั้งสิ้น บางคนก็ยืนตัวเกร็ง บางคนก็ขยับขยายที่ให้พระองค์นั่ง บางคนก็ถวายความเคารพ แต่บางคนก็ไม่เชื่อสายตาตัวเอง หลังจากนั้นพระองค์ทรงยืนเลือกหนังสือด้วยพระองค์เอง โดยที่ลูกค้าบางคนไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยทีเดียว หลังจากที่พระองค์เลือกได้ หนังสือเล่มที่ถูกพระทัยแล้ว พระองค์จะทรงต่อแถวเพืี่่อที่จะชำระเงิน พระองค์จะทรงชำระเงินโดยบัตรเครดิต เมื่อเรียบร้อยแล้วก็จะเสด็จขึ้นรถไฟฟ้า เพื่อเสด็จกลับวังสระปทุม
เหตุการณ์เช่นนี้สร้างความประทับใจและความปลื้มปิติให้แก่พสกนิกรผู้ได้ประสบพบเห็นพระจริยวัตรอันแสนจะเรียบง่ายของสมเด็จพระเทพฯ เจ้าฟ้าแห่งราชวงศ์จักรีของไทย
สิ่งที่ได้เห็น จากพระองค์ท่านก็คือ ได้ทราบว่าพระองค์ท่านทรงศึกษาด้วยพระองค์เองจากการเลือกซื้อหนังสือด้วยพระองค์เอง ดังนั้นพระองค์่ท่านยังทรงมีเวลาในการแสวงหาความสุขเพื่อตัวพระองค์่ท่านเองบ้าง แต่ก็แน่นอนทีเดียวในการแสวงหาความรู้นั้นสมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นนักวิชาการชั้นเยี่ยม กล่าวคือ จะทรงแสวงหาความรู้สูงสุดเท่าที่พึงจะหาได้ โดยจะทรงศึกษาวิเคราะห์รู้แจ้ง รู้ถึงแก่นแ้ท้ของวิทยการนั้นๆ จริงๆ สมกับพระราชดำรัชของพระองค์ท่านตอนหนึ่งความว่า
“ความรู้ที่เราเรียนนี้ มักเป็นความรู้กลางๆ หรือความรู้เฉลี่ย ซึ่งในทางปฏิบัติจริงๆ อาจจะยังใช้ไม่ได้ทันที ต้องการเรียนให้ได้ความรู้สูงสุดจริง อันจะนำไปใช้งานได้จริงๆ เพราะความรู้ลาง ก็คงแก้ปัญหาได้กลางๆ เท่านั้น”
👿 “สมเด็จพระเทพฯกับหมอบุญส่ง”
เล่าถึงบุคคลที่ทำให้สนพระทัยในเรื่องของชีวิตของสัตว์ คือ นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล และพระองค์ท่าน ยังได้พระราชนิพนธ์ เกี่ยวกับนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล เอาไว้ในหนังสือ “ชีวิตของฉันลูกกระทิง” ซึ่งมีความน่าสนใจดังนี้
“คงเป็นตัวการ์ตูนต่างๆ และตุ๊กตุ่นตุ๊กตาที่ล้อมรอบตัว ทำให้สนใจสิงสาราสัตว์ รวมทั้งชีวิตยามเด็กที่มีโอกาสอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ วังสวนจิตรลดาฯ กว้าง ๑ ตารางเมตร ไม่ได้เต็มไปด้วยผู้คนและอาคารเหมือนทุกวันนี้ แต่เป็นที่ที่มีต้นไม้สมบูรณ์ มีอีกามาก (ยังมามากจนถึงทุกวันนี้) ข้าพเจ้าพายเรือไปไหน ๆ ตามคลองกับเด็กๆ เพื่อนเล่น ได้โดยอิสระ ยิ่งเวลาไปยู่เชียงใหม่ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ล้อมรอบด้วยป่า เป็นแหล่งสร้างจินตนาการ เมฆหมอกที่ปกคลุม ต้นไม้ใหญ่ๆ น้ำตก นกหลากสี รวมทั้งผีเสื้อ ตัวแมลงแปลก รูปร่างเหมือนกิ่งไม้ บางตัวก็มี “ตาดุ” เหมือนตาผีคอยจ้องเรา และคุณหมอบุญส่ง ก็จะพาไปดูนก และยังสอนเรื่องสัตว์อื่นๆ ด้วย ทุกวันนี้ข้าพเจ้าโต เรียนจบทำงาน คุณหมอบุญส่งป่วย ก็เลยไม่ได้ติดต่อกันอีก ข้าพเจ้าอยากไปเยี่ยม แต่ก็ไม่กล้ารบกวน เลยไม่ได้พบกันอีก ได้แต่เพียงรำลึำกในโอกาสนี้ว่า ท่านเป็นผู้หนึ่งทีี่ใให้คุณค่าแก่ชีวิตยามเยาว์วัยของข้าพเจ้า เป็นความสุข สร้างความรู้ ความคิด ที่เป็นพื้นฐานสำหรับการก้าวต่อไปในชีวติโลกกว้างแห่งนี
😯 “เรียนรู้เรื่องเด็กพิเศษ จากสมเด็จพระเทพฯ” เล่าเรื่องเกี่ยวกับการสอนคนหูหนวก สมเด็จพระเทพฯ ท่านมีพระสหายที่มีความเชียวชาญด้านการสอนคนหนูหนวกพระองค์ท่านทรงซักถามอย่างละเอียด วิธีการที่ทรงซักถามนั้นทำให้คนทีไม่รู้เรื่องการสอนคนหูหนวกได้รับความรู้ได้ด้วย
การสอนคนหูหนวก มี ๒ วิธีคือ
๑. ภาษามือ การสอน คือกำหนดใช้นิ้วมือเป็นตัวอักษร มีการผสมคำกัน จากการใช้มือ และมีท่าทางที่เป็นสัญลักษณ์ด้วย
๒. วิธีการหัดพูดโดยการดูปาก วิธีการฝึกก็คือ ครูต้องได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี ใจเย็น มีความอดทนสูง จะต้องมีกระจกเงาบานใหญ่ โดยครูจะนั่งกับนักเรียนสอนวิธีการออกเสียงโดยให้สังเกตริมฝีปากใช้มือจับที่คอ และหน้าอกให้รู้จักความสั่นสะเทือนที่แตกต่างกันของเสียงชนิดต่างๆ นอกจากนี้พระองค์ท่านยังเมตตาต่อผู้พิการอื่นๆ อีกด้วย
ทำไม การทาสีของโรงเรียนสอนคนตาบอดล้วนมีแต่สีสดใส เช่น สีแดง สีเขียว สีส้ม สีเหลือง สีน้ำเงิน ดูแปลกๆ พระองค์ท่านทรงเล่าว่า ตามหลักวิชาการรับรู้ทางอายตนะ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คนตาบอดขาดเพียงตาเท่านั้น ส่วนอายตนะ อีก ๕ อย่างยังคงใช้ได้ดี พระองค์สรุปว่า “พวกเขาเซ้นส์ได้”
สมเด็จพระเทพฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเด็กพิเศษอย่างใหญ่ ทรงมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ทรงเสีสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อพสกนิกรโดยทั่วหน้า
😛 ความสุขเมื่อทรงดนตรี ทรงหัดดนตรีไทยชิ้นแรก ได้แก่ ซอด้วง สิ่งที่ทำให้พระองค์มีความสนพระทัยในดนตรีนั้น คือเพลงลูกทุ่ง และพระองค์ทรงมีความสามารถในทางดนตรีสากลด้วย มีเหตุการณ์ ที่น่าประทับใจ และเรียกรอยยิ้ม สมเด็จพระเทพฯ ทรงสีซอ “เพลงเขมรไทยโยค” ให้ควายฟัง ที่โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ จังหวัดสระแก้ว ตามที่มีสุภาษิตไทยที่ว่า “สีซอให้ควายฟัง” เมื่อทรงสีซอเสร็จแล้ว ทรงมีรับสั่งว่า”เดินหนีเลย” สรุปแล้วควายกะหมาเหมือนกัน เสียงมันแสบแก้วหู เสียงมันแหลม”
😈 สักวาพาเพลิน สมเด็จพระเทพฯ ได้ทรงสักว่ากลอนสด เรื่องสังข์ทอง เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายงามอาสา
😛 ความสุขกับการ์ตูนฝีพระหัตถ์ ภาพวาดฝีพระหัตถ์ประกอบเรื่องเล่า รูปแบบต่างๆ เช่น เรื่องสิงห์ ช้าง และมะม่วง”
😕 ถ้าเดินเรีอยไปย่อมถึงปลายทาง เล่าถึงการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ สมเด็จพระเทพฯ จะถ่ายรูปและทรงจดรายละเอียดสิ่งที่ได้ทอดพระเนตร และนำมาเล่าถ่ายทอดในหนังสือพระราชนิพนธ์ ให้คนไทยได้รับความรู้และเรื่องราวต่างๆ สมเด็จพระเทพฯ ทรงอธิบาย วลี “ถ้าเดินเรื่อยไปย่อมถึงปลายทาง” ว่า เป็นคำพูดในนิทานพม่าที่บอกถึงความสำเร็จ
👿 สารพันกีฬากับสมเด็จพระเทพฯ พระองค์ทรงเล่นกีฬาได้หลากหลาย เช่น บาสเกตบอล แบดมินตัน ฟุตบอล และทรงเล่นตลอดการแข่งขันไม่มีเปลี่ยนตัวเลยทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงโดยแท้
😉 ความสุขในการเรียนรู้ตลอดชีวิต สมเด็จพระเทพฯ เล่าถึง พระองค์ทรง “ฟื้นภาษาฝรั่งเศส” โดยการไปเรียนที่บ้านของมาดามนิโคล เดอมองเต็กซ์ และพำนักด้วย การดำเนินชีวิตต่างๆ เป็นไปอย่างเรียบง่าย เช่น “ตอนเช้ารับประทานอาหารเช้าเหมือนเดิม สายๆ เดินไป สถาบัน ครูเวโนนิชมว่าใส่เสื้อสวยเป็นผ้าไหม ข้าพเจ้าพยายามเล่าเรื่องของชาวบ้าน ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ทอผ้า ก็เลยได้คำศัพท์ใหม่มาอีกหลายคำ การศึกษาภาษาฝรั่งเศส สมเด็จพระเทพฯ ต้องเสด็จไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อฝึกประสบการณ์ด้านภาษา ทำให้ชาวไทย ได้เห็นว่าพระองค์ทรงมีความสามารถทางด้านภาษาต่างประเทศหลายภาษา พระองค์ต้องฝึกการใช้ภาษาด้วยวิธีการต่างๆ นานาแล้ว เรื่องไวยากรณ์พระองค์ก็ต้องศึกษาอย่างมาก เมื่อเสร็จสิ้นการศึกษาแล้ว สมเด็จพระเทพฯ ได้สรุป การศึกษา เพื่อฟื้นภาษาฝรั่งเศสว่า “ความรู้ภาษาฝรั่งเศสน่าจะดีขึ้นบ้างนิดหน่อย (ไม่มาก)”
😛 เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพฯ มีพระชนมายุ ๘ พรรษา นั้น ได้เคยทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า
“ข้าวสาร ๑ กระสอบมีกีเม็ด” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงอธิบายให้ฟัง ถ้าใครอยากรู้ว่า ข้าวสาร ๑ กระสอบมีกีเม็ดก็หาอ่านหนังสือ เรื่อง ความสุขของสมเด็จพระเทพฯ ได้ที่ เลขหมู่ DS570.45 ท7ก95 2554 แล้วจะพบกับความสุขที่เป็นความดีสุดยอด
นอกจากนี้ยังมีเรื่อง อารมณ์ขันของสมเด็จพระเทพฯ ความสุขกับสุนัขทรงเลี้ยง สมเด็จพระเทพฯ กับการเล่าเรื่องผี การนั่งรถพ่วงมอเตอร์ไซค์ ฯลฯ อ่านได้อย่างเพลิดเพลิน สนุกสนาน พร้อมกับความสุขตลอดเวลา
2 thoughts on “อ่านหนังสือหอสมุด SUS วันละเล่ม”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
วันนี้วันไหว้ครู พี่ปองอยากอ่านเรื่อง หญ้าแพรก ดอกมะเขือและเรือน้อย …
นับเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับบุคลากรในหอสมุดผู้ที่ยังไม่ชอบอ่านหนังสือ ชอบปฏิบัติงานมากกว่า
ป้าแมวอยากให้ทกคนเริ่มลงมือได้เลย ณ บัดนี้ อ่านการ์ตูนก่อนก็ได้ การ์ตูนรณรงค์ให้ไป…หรือลูบๆ คลำๆ ตัวเล่มไว้ก่อน จากนั้นลงมืออ่านเลย สัก 5 หน้าแล้วคั่นไว้(ด้วยกระดาษบางๆนะ วันก่อนเห็น ยัยอารี ใช้ดินสอหรือปากกาคั่นหนังสือ ตักเตือนไปแล้ว ครั้งต่อไปเห็นอีก จะจัดการทันที ) อารีทีอ่านๆไปแล้ว ก็เอามาลงblog ไว้ด้วยนะ จะได้คะแนนการพัฒนาตนเองไง อารีก็เป็นคนหึ่งที่ชอบอ่านนังสือ แต่ไม่เห็นนำมาเขียนเล่าให้เพื่อนๆฟังเลยนะ