เรื่องของคนขี้ฟ้อง (ประสบการณ์ฟ้อง สคบ.)
เมื่อประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ดิฉัน ได้เดินทางไปงานแต่งที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว ระหว่างรองานช่วงค่ำ ได้เดินเล่น เดินช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งบริเวณนั้น ในระหว่างเดินเล่น พบเห็นบูทจัดแสดงสินค้า/ผลิตภัณฑ์/บริการของศูนย์ความงามแห่งหนึ่ง มีดาราเป็นพรีเซ็นเตอร์บนเวที ดิฉันจึงหยุดดู ทันใดนั้นก็มีพนักงานของบริษัทฯ เดินเข้ามาล้อมซ้าย-ขวา หน้า-หลัง พยายามกึ่งขอร้องกึ่งต้อนให้เราเข้าไปนั่งฟังในบูท พนักงานอีกท่านหนึ่งได้นำครีมมาทาที่แขนดิฉัน ซึ่งก็ไม่ได้แจ้งว่าทาเพื่อสาธิตอะไร จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากทาแล้ว
หลังจากฟังการบรรยายและการซักถามพนักงานเกี่ยวกับความสามารถในการลดอยู่นาน พนักงานตอบคำถามจนทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าจะลดได้จริงเพียง ในตอนแรกที่แจ้งราคาต่ำกว่า 30,000 บาท (จำไม่ได้มากนัก) พอตกลงใจพร้อมชำระเงินด้วยบัตรเครดิตแล้ว รอบที่ 1 พนักงานก็มาแนะนำโปรโมชั่นใหม่ว่า หากรับอีกโปรโมชั่น ซึ่งมากจำนวนเงินมากกว่า 30,000 บาท ดิฉันแจ้งว่ายังไม่ได้ลองสักครั้ง จะเชื่อได้อย่างไรว่าจะเห็นผล ถึงจะลดแล้วก็ยังเป็นจำนวนเงินตั้ง 30,000 บาท พนักงาน 2 -3 ท่านช่วยกันเจรจาว่าเห็นผลต่างๆ นานาๆ ดิฉันแจ้งว่าไม่มีเงิน พนักงานก็แนะนำว่าบัตรเครดิตแบงค์นี้ สามารถผ่อน 0% เป็นระยะเวลา 10 เดือนกับบริษัทได้ เป็นความร่วมมือกับแบงค์และบริษัทฯ และที่สำคัญผู้จัดการอยู่ด้วยในงานนี้ด้วย หากให้ผู้จัดการลงนาม ก็จะสามารถลดได้เหลือเป็น 30,000 บาทเท่านั้น โดยจะเพิ่มจำนวนครั้งในการนวดเป็น 10 ครั้ง ซึ่งพนักงานแจ้งว่า “ลดได้อย่างแน่นอน” นอกจากนี้ พนักงานขายยังได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจมีผลต่อการตัดสินใจในการซื้อคอร์สในครั้งนี้ มากมาย จนกระทั่งนัดหมายเข้ามาใช้บริการ ในนัดหมายครั้งแรกไม่มีปัญหาใดๆ แต่มีพนักงานขายเข้ามาแนะนำขายโปรฯ ตลอดระยะเวลาการนวด ซึ่งน่ารำคาญมาก ขาดความเป็นส่วนตัว จนเราตัดความรำคาญด้วยการซื้อโปรฯ ใหม่ที่เป็นการนวดเครื่ือง กอรปกับพนักงานให้ข้อมูลว่าเร็วกว่านวดมือ รวมเป็นจำนวนเงิน 60,000 กว่าบาท
มูลเหตุความไม่ประทับใจในบริการ เริ่มเกิดเมื่อมีการนัดหมายครั้งที่ 2 และ 3 คือ มีการบ่ายเบี่ยง ไม่รับสาย ไม่ติดต่อกลับ จนเราต้องพยายามโทรกลับ พนักงานก็อ้างเหตุผลว่าติดลูกค้า พูดจายอกย้อน หยายคายมากมาย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับบริการที่น่าตกใจ หลังจากรูดบัตรจ่ายเงินไปแล้ว ซึ่งไม่สามารถบรรยายได้หมดใน blog นี้ ซึ่ึงหลังจากประสบเหตุ ดิฉันจึงเริ่มหาทางออกว่าจะทำอย่างไรดี คืนคอร์สไม่ได้ตามเงื่อนไขในสัญญา ซึ่งเราประมาทและมีส่วนผิดที่ไม่รอบคอบเอง ไม่อ่านเงื่อนไขในสัญญาก่อนลงนาม จึงได้พยายามศึกษาหาข้อมูลจาก Google, Pantip ก็พบว่า มีลูกค้าหลายรายพบเหตุการณ์เหมือนกับเราบางรายบริษัทฯ เดียวกับเรา บางรายคนละบริษัทฯ หลายรายเลิกรายอมแพ้ไม่ต่อสู้ มี 1 รายที่เป็นข้อมูลให้เราต่อสู้จนสัมฤทธิ์ผลในทุกวันนี้ แต่รายนั้น สู้จากการขู่กับบริษัทฯ ว่า หากไม่สามารถคืนคอร์สได้ ไม่ว่าคุณจะไปออกบูทที่ไหนเค้าจะตามไปขึ้นบนเวทีประกาศให้ลูกค้าท่านอื่น ๆ ทราบ จนบริษัทฯ ตกลงคืนให้ และทิ้งท้ายใน pantip ว่า “ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก” ดิฉันจึงตัดสินใจโทรไปแจ้งพนักงานว่าขอคืนคอร์ส ได้รับการปฏิเสธกลับทันทีด้วยถ้อยคำหยาบคาย ดิฉันจึงแจ้งว่าจะไปฟ้อง สคบ. ก็ได้รับการตอบกลับว่าเชิญค่ะ แบบหมิ่นประมาท ว่ากรุณาไปอ่านเงื่อนไขฯ ให้ดีก่อนคิดจะฟ้อง ดิฉันใช้ความพยายามโทรศัพท์ติดต่อทั้งสำนักงานใหญ่ ทั้งสาขาหลายครั้งหลายครา ได้รับการปฏิเสธ รับเรื่องแต่ไม่มีการติดต่อกลับ พอโทรศัพท์เข้าไปติดตามเรื่องก็ได้รับการปฏิเสธจากพนักงานท่านอื่นๆ คนเดิมจะไม่มารับสาย อ้างไม่ทราบเรื่อง เข้าไปติดต่อกับพนักงานที่สาขาก็ได้รับการปฏิเสธว่าคืนไม่ได้ ขอพบผู้จัดการฯ ก็บ่ายเบี่ยง ผุู้จัดการไม่เข้า ไปต่างประเทศ ฯลฯ ดิฉันให้ข้อมูลว่ามีคนกล่าวถึงบริษัทฯ คุณใน pantip และเค้าก็ได้คืนคอร์สได้ เค้าไม่ตอบ หลังจากนี้ดิฉันได้ไปเปิดข้อมูลอ่านอีกคร้้งก็พบว่า กระทู้นี้ถูกลบออกไปแล้ว เนื่องจากเป็นการฟ้องร้องฯ ซึ่งคาดว่าน่าจะทราบข้อมูลจากดิฉันแล้วไปค้นหาและดำเนินการแจ้ง pantip ให้เอาออก แต่อย่างไรก็ต้องขอขอบคุณกระทู้นั้น ที่ทำให้ดิฉันสู้ตาม (แบบไร้ความหวัง) หลังจากนี้ จึงเริ่มปรึกษาทนายฯ และตัดสินใจไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ได้รับการตอบกลับจากร้อยเวรว่า เหตุแบบนี้เกิดบ่อยมากๆ ทุกวันนี้ และให้ข้อมูลเราว่า ถ้าหากเค้ายังเปิดกิจการอยู่ ไม่ได้ปิดตัวหนีหายไป เพียงแต่เราไม่สามารถติดต่อนัดหมายเข้าไปใช้บริการเค้าได้เท่านั้น เค้าพยายามบ่ายเบี่ยงเราด้วยการนัดหมาย ลูกค้าหลายรายก็รำคาญ หนีหายไปเองก็มี บริษัทฯ เหล่านี้เค้าศึกษาข้อมูลมาอย่างดี เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเอาผิดอาญากับพวกเขาได้ ดังนั้น เราจึงไม่สามารถแจ้งความเอาผิดอาญากับบริษัทฯ เหล่านี้ได้ มีทางเดียวคือ ฟ้องสคบ. เท่านั้น ในวันนั้น หมดแรงยอมรับว่าเสียใจและร้องไห้เดินออกมาจากสถานีตำรวจ
หลังจากนี้ ดิฉันจึงเริ่มลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ด้วยการโทรศัพท์ปรึกษาเจ้าหน้าที่บริษัทบัตรเครดิต แต่ก็ไม่สามารถยกเลิกหนี้สินนั้นได้ จนกว่าบริษัทความงามแห่งนั้น จะแจ้งเรื่องมายังบริษัทบัตรเครดิต จึงจะดำเนินการยกเลิกหนี้ให้ดิฉันได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่บริษัทบัตรเครดิตให้ความช่วยเหลือ แสดงความเห็นอกเห็นใจ ช่วยประสานงานกับบริษัทความงามให้เป็นอย่างดีตลอดมา ถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จแต่ก็รู้สึกประทับใจในบริการเป็นอย่างมาก
จากนั้นดิฉันจึงได้ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการฟ้อง สคบ. ตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งไว้ โดยการหาเบอร์โทรศัพท์ และโทรเข้าไปสอบถามแนวทางการฟ้องร้อง ได้รับแจ้งว่า สามารถยื่นเรื่องได้ทั้งทางออนไลน์และไปด้วยตนเอง จึงตัดสินใจสมัครยื่นเรื่องออนไลน์ที่ http://www.ocpb.go.th/index.php?filename=index เนื่องจากหลังจากที่ได้หาข้อมูลอ่านแล้วพบว่า ยื่นออนไลน์ค่อนข้างเร็วกว่าการยื่นด้วยตนเอง และเสียเวลางาน เมื่อสมัครฯ สำเร็จ จึงพิมพ์เรื่องราวทั้งหมดรวม 16 หน้ากระดาษ (พร้อมภาพหลักฐานประกอบ) ซึ่งดิฉันได้ตั้งประเด็นไปประมาณ 10 กว่าประเด็น ดังนี้
- การโทรศัพท์นัดหมายในแต่ละครั้ง (ยกเว้นครั้ง 1-2) ดูจะยุ่งยาก ติดต่อก็ยาก โทรไปไม่รับ ไม่โทรกลับ ลูกค้าต้องพยายามติดต่อพนักงานโทรจิกมาก พนักงานก็บอกว่ากำลังยุ่ง ติดลูกค้า เพิ่งออกจากห้องลูกค้า อยู่ในห้องลูกค้าเป็นเวลาเกือบ 4 ชม. ไม่แน่ใจว่าเป็นการนวดแบบใด จะใช้เวลานานขนาดนี้ ขนาด Tierra ยังแค่ 2 ชม. ลูกค้าอย่างดิฉันต้องทนใช่หรือไม่ และตนเองก็ไม่ได้เป็นผู้นวดหรือ Therapist หากเดาก็คงจะเหมือนกับที่ลูกค้าแบบดิฉันเจอมาก่อน คือ การยืนอธิบายโปรฯ ต่างๆ ลดขึ้น-ลง จนงง สับสน จะนอนนวดหลับพักผ่อนก็ไม่ได้ เพราะมีเสียงรบกวนโสตประสาทตลอดเวลา จนตัดรำคาญด้วยการซื้อโปรฯ
- การซื้อคอร์ส skinny แต่ได้ one stop รับนัดตามคอร์ส แต่เมื่อเข้ามารับบริการกลับไม่ได้บริการตามคอร์สที่ซื้อไว้ (ราคาสมดุล?) เนื่องจากราคา one stop ต่ำกว่า skinny ซึ่งโดยหลักการควรจะให้คอร์สที่ราคาสูงกว่า ไม่ใช่ต่ำกว่าหรือไม่
- การระบุชื่อคอร์ส/ตารางคอร์สไม่มีความชัดเจน พอกลับมาดูเอกสารที่บ้านก็เพิ่งจะเห็นว่า แล้วตนเองจ่ายเงินไปนั้น ได้อะไร ดูแล้วก็งงๆ ไม่มีรายละเอียดคอร์สที่ชัดเจน ไม่มีตารางกำหนดจำนวนครั้งแบบชัดเจน การตกลงซื้อครีมลดไขมัน ตามสัญญาของ Therapist บอกว่าจะนำครีมมานวดให้ทุกครั้งที่มารับบริการ ฝากครีมไว้ที่บริษัทฯ แต่เมื่อมารับบริการไม่มีบริการนี้ แถมได้ Therapist คนใหม่ หากจะเปลี่ยน Therapist ก็ควรจะมีการส่งต่อข้อมูลของลูกค้าให้กันด้วย หากจะไม่มีบริการตามสัญญา ก็ไม่ควรสัญญากับลูกค้าเพื่อให้ลูกค้าซื้อตามคำขอฯ
- ซื้อของราคาเพียงหลักสิบ/หลักร้อย ยังมีใบเสร็จรับเงินที่ชัดเจนแต่การซื้อบริการของบริษัทฯ ราคาเลยครึ่งแสน เอกสารใบสำคัญรับเงินยังไม่ชัดเจน หากไม่มีใบสำคัญการรูดบัตรเครดิตจากบริษัทฯ ก็คงจะแย่ และเมื่อดิฉันทวงถามใบเสร็จของการซื้อคอร์สครั้งที่เปลี่ยนแปลงในราคาเพิ่ม 30,000 บาท กลับถ่ายรูปส่งให้ดูทางไลน์ (จะใช่หรือไม่) ไม่ทวงก็คงจะไม่ได้เห็น จนกระทั่งบัดนี้ ยังคงไม่ได้เอกสารชุดนั้น
- การขอครีมคืน เนื่องจากไม่มีการทำตามสัญญา แต่คำตอบที่ได้ กลับบอกว่ารอเบิกจากบริษัทฯ ทั้งๆ ที่ครีมอยู่ในตู้ ติดต่อสื่อสารอยู่นานกว่าจะทราบเรื่อง บริษัทฯ อาจจะต้องมีการปรับปรุงเรื่องการสื่อสารในองค์กร และหากไม่ทราบจริงๆ ว่าครีมอยู่ที่ใด ควรจะสอบถามกันก่อน ไม่ใช่การโกหกทันทีเพื่อตัดปัญหาว่า ครีมรอเบิกจากบริษัทฯ แล้วจะหาความความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจได้จากที่ใด
- จากกรณี “การเข้าห้องผ้าห่ม” ไม่มีระบบ safety ความปลอดภัยในชีวิตให้กับลูกค้า เช่น พนักงานควรสอบถามอาการป่วยหรือโรคประจำตัวจากลูกค้าก่อนการดำเนินการเครื่องมือ/อุปกรณ์ต่างให้ลูกค้า โชคดีที่ดิฉันแค่เป็นไมเกรนหากมีลูกค้าป่วยเป็นความดันสูงและเกิดการเสียชีวิต ทางบริษัทฯ จะรับผิดชอบใดๆ
- Gift Voucher หมดความหมาย+ไร้ประโยชน์ ในวันแรกที่ได้รับ Gift Voucher ดิฉันเชื่อว่าลูกค้าทุกคนจะต้องรู้สึกดีใจ+ประทับใจเป็นอย่างมาก แต่พอได้รับมาแล้ว ในวันที่เข้ามารับการนวดที่สาขาฯ ปรากฏว่า พนักงานไม่มีการเอ่ยถึงสิ่งนี้อีกเลย มุ่งมั่นแต่การพูดถึงโปรฯ อื่นๆที่ราคาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จน Gift Voucher หมดความหมาย
- การไปติดต่อนวดแต่ละครั้ง ไม่มีระบบคอมฯในการบันทึกข้อมูลการจอง รับนัดลูกค้า เพื่อป้องกันการชนกันของเครื่องแต่ละเครื่องเหมือนกับที่ดิฉันประสบมา หากมีการจองโดยระบบคอมฯ ก็คงจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ คือ สมัคร skinny แต่ไม่ได้ ให้เลือกระหว่าง Tierra หรือว่า One Stop แล้วดิฉันจะซื้อคอร์สแพงกว่าไปเพื่ออะไร?
- ข้อมูลลูกค้าสำคัญมาก ฉะนั้น การสื่อสาร – การส่งต่อข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าภายในองค์กรจำเป็นอย่างยิ่งและสำคัญมากๆ
- การให้บริการด้วยจิตบริการ (service mind) สำคัญมาก ควรได้รับการอบรมเพื่อปรับปรุงบุคลิกภาพ มารยาทของบุคลากรในองค์กรของบริษัทฯ เพื่อคุณภาพในการให้บริการ
- บริษัทฯ ขายบริการมากกว่าผลิตภัณฑ์ แต่เมื่อมีการเจรจาเรื่องการขอคืนคอร์ส พนักงานแจ้งว่า โดยปกติจะไม่มีการรับคืน แต่หากมีการชดใช้ฯ จะเป็นผลิตภัณฑ์/ครีมฯ จะไม่คืนเป็นเงิน ซึ่งใช่หรือไม่? บริษัทฯ ไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์ เช่น ทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ที่เมื่อรับผิดชอบแล้วจะคืนมาเป็นผลิตภัณฑ์ได้ แต่บริษัทฯ ขายบริการ แล้วครีมที่ใช้ส่วนใหญ่ก็ต้องใช้กับเครื่องมือที่บริษัทฯ ซื้อมา จะให้ลูกค้านำไปใช้กับอะไรที่บ้านได้?
- รูปแบบบัตรเหมาะสมกับความเป็นบัตร VIP หรือไม่ มองคล้ายบัตรสะสมแต้มฯ
- การบันทึกข้อมูลลูกค้าในอุปกรณ์ที่เที่ยงตรง เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ จะลดปัญหานัดหมายการใช้เครื่องที่ชนกันได้ของลูกค้า เนื่องจากเครื่องฯ ของบริษัทฯ มีจำกัด ไม่เพียงพอต่อการที่พนักงานขายพยายามแสวงหาลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ
- สัญญาไม่เป็นธรรม เนื่องจากในสัญญาระบุเพียงว่าลูกค้าต้องปฏิบัติอย่างไร แต่บริษัทจะให้อะไร อย่างไรไม่กล่าวถึง จะใช่หรือไม่
ตลอดเวลารอคอยการพิจารณา สคบ. จะแจ้งรายละเอียดกลับตลอดเวลา ตั้งแต่การได้รับคำร้องฯ ของเรา ลำดับขั้นการพิจารณา สถานะตอนนี้รอกระบวนการอย่างไร ทำให้เราคลายความกังวล จนกระทั่งได้รับการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่ สคบ. เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2561 เพื่อการนัดหมายเจรจาไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีในวันที่ 21 พฤษภาคม 2561 ณ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ในวันดังกล่าว เป็นวันที่ดิฉันได้รับชัยชนะในการเรียกร้องขอคืนคอร์สได้ เป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท จากการต่อสู้ที่ผ่านมากับบริษัทฯ รวมเป็นระยะเวลาเกือบ 2 เดือน ซึ่งไม่เป็นผลและถูกกีดกัดทุกอย่าง ไม่สามารถแจ้งความเอาผิดได้ (กฎหมายเอาผิดไม่ได้) เกิดความท้อแท้และหมดหวัง แต่ก็ต้องลุกขึ้นสู้ต่อ เพราะมั่นใจว่าไม่เป็นธรรมจริงๆ ถึงแม้ว่าภาษาในสัญญาจะผูกมัดเราตามที่บริษัทฯ แจ้งและเราได้เผลอลงนามไปแล้ว สู้จนกระทั่งได้รับชัยชนะ และจากกรณีดังกล่าวนี้ดิฉันคงรู้สึกเข็ดกับความงามและความใจอ่อน ขี้สงสารไปอีกนาน หากเพื่อนๆ ท่านใดกำลังประสบปัญหาทำนองนี้ต้องการคำปรึกษา ยินดีให้ข้อมูลและคำปรึกษานะคะ และนอกจากนี้ ยังได้หาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประสบปัญหาคล้าย ๆ กับดิฉันมากฝากกัน คือ กรณี การเดินห้างสรรพสินค้าแล้วพบปัญหาพนักงานบริษัทเสริมความงามเข้ามายัดเยียดโปรโมชัน หยอดคำหวาน สุดท้ายมัดมือชก
https://www.posttoday.com/politic/report/441388
Comments are currently closed.