วัดบวรมงคลราชวรวิหาร (วัดลิงขบ)
วัดบวรมงคลราชวรวิหาร เป็นวัดโบราณ มีหลักฐานว่าสร้างมาแต่ครั้งสมัยอยุธยา ก่อนเสียกรุงครั้งที่ ๒ ถึง ๑๐ ปี คือ ในปีพุทธศักราช ๒๓๐๐ เดิมชื่อ “วัดลิงขบ” มีผู้ตั้งสมมุติฐานว่า ชื่อนี้เพื้ยนมาจากคำว่า “เลิงขอบ” ในภาษามอญ แปลว่า บริเวณที่เป็นที่ลุ่มซึ่งตั้งอยู่ที่ริมหรือขอบของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นถิ่นฐานของชาวรามัญที่ได้อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารตั้งแต่ครั้งสงคราม ระหว่างมอญกับพม่า ดังปรากฏในเรื่อง ราชาธิราช
วัดบวรมงคล ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๕๒ ในสมัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ พระอนุชาธิราชได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดบวรมงคลราชวรวิหาร” ในคราวที่ พระองค์ ได้มหาอุปราชาภิเษก เป็นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรเจ้ามหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล โดยทรงสถาปนาวัดบวรมงคลราชวรวิหารเป็นพระอารามหลวง
เนื่องจากวัดบวรมงคลนี้ มีบริเวณกว้างขวาง เคยมีพระสงฆ์รามัญจำพรรษาอยู่มาก มีประมุขสงฆ์ที่เป็นชาวรามัญคือ พระไตรสรณธัช สมเด็จพระบวรราชามหาเสนานุรักษ์จึงได้ทรงพิจารณาให้บูรณะขึ้นเป็นวัดส่วนกลางสำหรับพระสงฆ์รามัญนิาย เพื่อความสะดวกในการปกครองคณะสงฆ์และบำรุงขวัญชาวรามัญที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดแห่งนี้อีกประการหนึ่ง
วัดบวรมงคลราชวรวิหาร มีเนื้อที่กว้างใหญ่ถึง ๒๙ ไร่ ๒ งาน ๒๕ ตารางวา ตั้งอยู่ ตรงริมน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตกระหว่างสะพานพระราม ๘ กับสะพานกรุงธนบุรี ตรงหน้ากับปากคลองผดุงกรุงเกษม ตั้งอยู่ในแขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
ครั้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๒ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานโอนสังกัดเป็นวัดธรรมยุติ
ศาสนาวัตถุภายในวัด
พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยประดิษฐานในพระอุโบสถ หน้าตักกว้าง ๓ เมตร ๔๐ เซนติเมตร สูงจากฐานถึงพระรัศมี ๗ เมตร ๔๕ เซนติเมตร พร้อมอัครสาวก ๒ องค์ พระอุโบสถก่ออิฐถือปูน กว้างหน้า ๑๒ เมตร ๓๐ เซนติเมตร ยาว ๓๕ เมตร ๒๐ เซนติเมตร หลังคา ๔ ชั้น สูงประมาณเกือบ ๑ เส้น
วิหารคด ทำเป็นหลัวคาคร่อมกำแพงพระอุโบสถมีประตูเข้าออก ๔ ทิศ ยาวด้านละ ๔๖ เมตร ๔๐ เซนติเมตร สูงจรดหลังคา ๓ เมตร ๒๕ เซนติเมตร
พระพุทธรูปปูนปั้นรอบระเบียงวิหารคด เป็นรูปพระพุทธรูปปางมารวิชัย จำนวน ๑๐๘ องค์ หน้าตักกว้าง ๙๕ เซนติเมตร สูง ๑ เมตร ๓๙ เซนติเมตร
พระเจดีย์ย่อมุมประจำทิศ เป็นเจดีย์เหลี่ยมแบบสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นขึ้นไปถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ประจำทิศของพระอุโบสถ ทั้ง ๔ ด้าน ฐานกว้าง ๙ วา สูง ๔ วา
หอระฆังใหญ่ ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถด้านทิศใต้ ซึ่งเป็นหอระฆังเก่าสร้างมาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ กับหอระฆังเล็ก ตั้งอยู่ในหมู่กุฏิสงฆ์
อนุสรณ์สถาน รัชกาลที่ ๔ เป็นอาคารที่สร้างขึ้นตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่องค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้สร้างขึ้นเป็นพระตำหนักไว้เพื่อประทับ ณ วัดบวรมงคล เพื่อทรงปฏิสันฐานกับพระภิกษุรามัญ ชาวบ้านเรียกอาคารนี้ว่า “เก๋งเจ้าจอม”
การเดินทาง
๑. โดยสารทางเรือ นั่งเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา นั่งเรือที่ท่าจากท่าเรือ เเทเวศน์ ข้ามฟากมาลงที่ท่าวัดบวรมงคล ค่าโดยสาร ๓ บาท
๒. ถ้ามาจากฝั่งใต้สะพานพระราม ๘ เดินชมวิถีชีวิตของชาวชุมชนบ้านปูน ผ่านศาลาโรงธรรม ศาลเจ้า ผ่านวัดคฤบดี เดินมาเรื่อยๆก็จะถึงวัดบวรมงคล
๓. โดยสารรถประจำทาง สาย ๒๐๓, ๖๖, ๒๘, ๑๐๘, ๕๖ ผ่านถนนจรัญสนิทวงศ์ ลงรถที่ประจำทางที่ ป้ายรถ จรัญสนิทวงศ์ ๔๖ แล้วต่อรถสองแถวหน้าปากซอย จนสุดสายจะถึงวัดพอดี
ผู้เขียน มีบุญได้มาสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนวัดบวรมงคล ตั้งแต่ ม.๑-๖ สมัยก่อนใช้วิธีเดินทางผ่านสวน ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านจัดสรรไปเรียบร้อยแล้ว ได้เห็นภาพวัดในอดีต ที่ยังเป็นเรื่องของวิถีชีวิต มีเรือกสวน ให้เห็น มีต้นไม้นานาชนิด
ที่มา กฤษณศักดิ์ กัญฐสุทธิ์. ประวัติวัดบวรมงคลราชวรวิหาร (โดยสังเขป). ที่ระลึกการถวายผ้ากฐินพระราชทาน ณ วัดบวรมงคล
ราชวรวิหาร แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพมหามหานคร วันพุธที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙.