รู้จักมอญในไทย…สหายหลากฐานะ

ต.นครชุมน์ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ อ.บ้านโป่ง แม่กลองเป็นแม่น้ำสายสำคัญในภูมิภาคตะวันตกของไทย แนวลำน้ำขนานคู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำท่าจีนและเจ้าพระยา เป็นที่ราบลุ่มต่อเนื่องจากที่ราบลุ่มภาคกลาง และด้วยความอุดมสมบูรณ์ของลุ่มน้ำแม่กลองนี้ จึงมีการตั้งถิ่นฐานที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนหลากเชื่อชาติและภาษา ได้แก่ ไทย มอญ ลาว เขมร และจีน การอยู่ร่วมกันนี้จึงทำให้วัฒนธรรมเกิดการแลกเปลี่ยนและหลอมรวม

ชาวมอญเป็นผู้ที่มีความรู้ทางศาสนาและประเพณี มีการบันทึกความรู้วิทยาการต่างๆ ทั้งเรื่องศาสนา ประเพณีวัฒนธรรม ประวัติสถานที่ บุคคล ตลอดจนวรรณคดีและตำราต่างๆ ลงในคัมภีร์ใบลานและสมุดข่อย ปรากฎให้เห็นทั่วไปตามวัดต่างๆ เอกสารเหล่านี้ช่วยในการบอกเล่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตลอดจนภูมิปัญญาได้อย่างดี ดังพบว่าคัมภีร์ใบลานเก่าสุดของวัดม่วงระบุว่าจารที่วัดม่วง พ.ศ.2181 ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระเจ้าประสาททองในสมัยอยุธยา

การอพยพของชาวมอญสู่ไทยนั้นมีการเข้ามาหลายระลอก และทุกครั้งทางการไทยก็ให้การต้อนรับพร้อมจัดตั้งให้อยู่ในไทยอย่างดี เนื่องจากชาวมอญเป็นกำลังสำคัญในการช่วยไทยรบกับพม่าเสมอมา นับตั้งแต่สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยกรุงเทพฯ ตอนต้น ทั้งนี้ชาวมอญอพยพนั้นเข้ามาในหลายฐานะ กล่าวคือ ในฐานะเฉลยศึกที่ถูกกวาดต้อนมา เมื่อพ.ศ.2138 สมัยสมเด็จพระนเรศวร ในฐานะผู้หนีทัพ เมื่อคราวพม่าเกณฑ์ไปรบศึกฮ่อ พ.ศ.2205 สมัยสมเด็จพระนารายณ์  ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง

จากหลักฐานและข้อมูลต่างๆ ในท้องถิ่น ทำให้ทราบว่าในสมัยอยุธยานั้น มอญในลุ่มน้ำแม่กลองนั้นอพยพมาจากเมืองมอญ เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์เมืองกาญจนบุรี บางส่วนได้มาตั้งบ้านเรือนบริเวณสองฝั่งริมน้ำแม่กลอง ตั้งแต่บ้านโป่งถึงบ้านเจ็ดเสมียน โพธารามมากกว่าบริเวณอื่นๆ เพราะเป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะในการทำการเกษตร สะดวกต่อการคมนาคม การค้าขาย ทั้งยังเป็นบริเวณที่ใกล้ที่สุดในเส้นทางอพยพจากทางใต้ของพม่า สะดวกต่อการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดหรือการไปสักการะเจดีย์ชเวดากอง

วัด…ศูนย์รวมใจชนชาติมอญเมืองไทย

ในการอพยพของชาวมอญแต่ละกลุ่มเข้าสู่ประเทศไทยนั้น มักสร้างชุมชนของตนเองมีศูนย์กลางของชุมชนคือวัด ที่มักตั้งชื่อหมู่บ้านและวัดตามถิ่นฐานเดิมในเมืองมอญ เช่น วัดมะขาม วัดม่วง วัดตาล วัดนครชุมน์ วัดคงคาราม เป็นต้น การสร้างวัดขึ้นภายในชุมชนก็เนื่องด้วยชาวมอญเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีความเคร่งครัดในพุทธศาสนา การมีวัดของตนเองจึงสะดวกต่อการไปร่วมกิจกรรมงานบุญอันเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตในการสร้างวัดนั้นพบหลักฐานว่าวัดม่วง (ฝั่งตะวันตก) เดิมเคยมีอยู่แล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2181 สมัยพระเจ้าประสาททอง เมื่อชุมชนมาอาศัยบริเวณดังกล่าวจึงสร้างวัดใหม่แทนที่วัดเดิมที่ชำรุดทรุดโทรม ต่อมา พ.ศ.2295 จึงสร้างวัดนครชุมน์ (ฝั่งตะวันตก) ขึ้น ชาวมอญในชุมชนทั้งสองแห่งนี้ส่วนมากคือกลุ่มที่อพยพมาจากเมืองมอญทางด่านเจดีย์สามองค์ มีข้อสังเกตว่าชาวมอญที่บ้านม่วงนี้มีสำเนียงภาษาที่แตกต่างไปจากหมู่บ้านอื่นๆ อย่างน่าสนใจ

ชาวมอญที่อยู่กันหนาแน่นสองฝั่งแม่น้ำบริเวณวัดม่วงและวัดนครชุมน์ ที่เข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยานี้จึงนับได้ว่าเป็นกลุ่ม “มอญเก่า” ส่วนกลุ่มที่เข้ามาในสมัยกรุงเทพฯ ตอนต้น ที่มักตั้งถิ่นฐานบริเวณ อ.โพธาราม รอบๆ บริเวณและเหนือวัดคงคาราม และฝั่งตรงข้าม ซึ่งเดิมเคยเป็นชุมชนลาวนั้น กลับคึกคักกลายสู่ความเป็นชุมชน “มอญใหม่” ที่มีเจ้าเมืองรามัญตั้งบ้านเรือนละแวกวัดคงคารามเป็นผู้สนับสนุนสำคัญ ในการปฏิสังขรณ์และการสร้างวัดมอญขึ้นอีกหลายแห่ง โดยมีวัดคงคาราม เป็นวัดศูนย์กลางการปกครองวัดมอญสองฝั่งน้ำแม่กลองตั้งแต่บ้านโป่งถึงโพธาราม

เกิดเป็นมอญ…ต้องบวชในบวรพระพุทธศาสนา

ชาวพุทธโดยรวมมีความเชื่อและศรัทธาว่าลูกผู้ชายเมื่อเติบโตมีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ จะต้องบวชพระ ชาวมอญซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีศรัทธาอันแรงกล้าต่อพุทธศาสนา และมีวัดเป็นศูนย์รวมตลอดจนที่พึ่งพิงทางใจก็มีความเชื่อและศรัทธาเช่นกันว่า การบวชพระเป็นสิ่งที่ต้องถือปฏิบัติในช่วงสำคัญของชีวิตที่จะเปลื่ยนผ่านให้ชายหนุ่มไปสู่ความเป็นผู้มีความรู้ในทางธรรมอย่างลูกผู้ชายโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะการบวชเป็นขบวนการขัดเกลาทางสังคม โดยการให้การอบรมศึกษาตามหลักพุทธศาสนามุ่งสอนให้เป็นคนดี ฝึกเจริญสติ สมาธิ ปัญญา เรียนรู้ที่จะอดทน เมื่อสึกออกมาแล้วจะได้เป็นผู้ใหญ่สามารถเป็นผู้นำครอบครัว และที่สำคัญคือเชื่อว่าพ่อแม่และผู้บวชจะได้บุญกุศลอย่างมากในการบวชอุทิศตนของลูกชาย

การบวชของชาวมอญที่บ้านนครชุมน์นี้ มี 2 ลักษณะ คล้ายๆ กับชาวไทยโดยทั่วไป คือ บวชแบบเงียบๆ เพียงนิมนต์พระอุปัชฌาย์คู่สวดและพระภิกษุนั่งอันดับ มีเครื่องอัฐบริขารครบ เมื่อถึงกำหนดวันเวลาก็พากันไปยังพระอุโบสถเพื่อบวชตามประเพณี และการบวชแบบมีพิธีจัดงาน ซึ่งในแบบหลังนี้เจ้าภาพจะต้องจัดงานใหญ่โตใช้งบประมาณค่อนข้างสูง และต้องเตรียมการเวลาก่อนบวชนานมาก เนื่องมีขั้นตอนและพิธีการต่างๆ ค่อนข้างมาก

บวชนาคมอญ…ความต่างอย่างมีคุณค่า

การบวชเป็นพระภิกษุในทางพุทธศาสนา เรียกว่า “อุปสมบท” แต่หากมีอายุต่ำกว่าพุทธบัญญัติจะบวชได้เพียง สามเณร เรียกว่า “บรรพชา” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าบวชเณร ส่วนผู้ที่ก่อนบวชไปอยู่วัด เรียกว่า “พ่อนาค” หรือ “เจ้านาค” หากเป็นสามเณร ก่อนบวชจะเรียกว่า “หางนาค” เช่นเดียวกับทางภาคเหนือที่เรียกว่า “ลูกแก้ว” พิธีการบวชนาคมอญนั้นในอดีตผู้ที่จะบวชจะต้องไปอยู่วัดเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อท่องบทสวด ตำราเจ็ดตำนาน รวมทั้งบทขออุปสมบท (ขานนาค) ให้แตกฉาน แต่ในปัจจุบันมักอนุโลมให้อยู่วัดเพียง 1 สัปดาห์ เนื่องจากผู้บวชอาจอยู่ในระหว่างศึกษาหรืออาจต้องทำงาน การไปอยู่วัดนั้นนับเป็นขั้นตอนเริ่มต้นในการบวช โดยพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่จะเป็นผู้นำเจ้านาคไปมอบให้อยู่ในความดูแลของเจ้าอาวาสวัดที่จะบวช และเจ้านาคจะต้องอยู่ที่วัดจนถึงกำหนดวันบวช

วันสุกดิบน้อย…รวมญาติและเพื่อนบ้าน

ประเพณีการบวชของชาวมอญที่บ้านนครชุมน์นี้ มีพิธีการหลายขั้นตอน ใช้เวลาหลายวัน เริ่มจากวันสุกดิบน้อย ซึ่งในสมัยโบราณญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านจะมารวมกันที่บ้านเจ้าภาพ เพื่อเอาแรงช่วยกันเตรียมงานด้านต่างๆ ทั้งอาหารคาว หวาน งานจัดทำใบตองสด จัดทำบายศรี จีบหมากพลูเพื่อถวายพระสงฆ์ในวันบวช ตลอดจนการจัดเตรียมสถานที่ สมัยโบราณมีกิจกรรมที่สำคัญ คือ การทำขนมจีน แต่ในปัจจุบันมักใช้ซื้อสำเร็จรูป แต่ก็ยังคงต้องเตรียมอาหารอื่นๆ เพื่อรับรองแขกที่มาร่วมงานและพระภิกษุสงฆ์ในงานวันสุกดิบใหญ่และวันอุปสมบท เวลาบ่ายของวันสุกดิบน้อยนี้ ทางครอบครัวและเพื่อนเจ้านาคจะไปรับเจ้านาคจากวัดกลับบ้าน เพื่อชำระร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้ายกขบวนไปลาและขอขมาญาติผู้ใหญ่

วันสุกดิบใหญ่…นาคต้องแต่งหญิงจริงหรือ?

เช้าตรู่วันสุกดิบ ญาติพี่น้องจะช่วยกันแต่งตัวนาค โดยธรรมเนียมการแต่งตัวนาคนี้ แตกต่างจากนาคแบบไทยอย่างชัดเจน ผู้ที่ไม่คุ้นเคยอาจเข้าใจสับสนว่านาคมอญต้อง “แต่งหญิง” โดยการนุ่งผ้าม่วงห่มสไบ เขียนหน้าทาปาก แต่หากได้พิจารณาจะเห็นว่า ลักษณะการนุ่งผ้าของนาคมอญคล้ายพระนุ่งสบง ส่วนการห่มสไบก็คล้ายการห่มอังสะของพระ มีการแต่งหน้าทาปาก และทัดดอกไม้หูข้างซ้าย และบนไหล่ซ้ายยังพาดผ้าปักลายผืนเล็กคล้ายสังฆาฏิ คล้ายกับการบวชลูกแก้ว หรือ ปอยส่างลอง ที่มีการแต่งองค์ทรงเครื่องโดยจงใจให้เหมือนกษัตริย์หรือเทวดามาจุติ

การแต่งกายของนาคมอญนี้ มีคติมาจากที่เจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้า เสด็จออกผนวชนั้นยังฉลองพระองค์กษัตริย์ ทรงเครื่องมงกุฎ ประดับเพชรนิลจินดา มีเทวดาแปลงเป็นม้ากัณฐกะ พาเหาะออกทางหน้าต่างพระราชวัง ชาวมอญยึดถือตามคตินี้ โดยมีแนวคิดว่าเมื่อผู้จะบวชยังเป็นฆราวาสแม้จะมีทรัพย์สินมากมายเพียงใด แต่เมื่อจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ก็จำต้องสละสิ่งเหล่านั้นไปสู่เพศอันบริสุทธิ์

การแต่งกายของนาคมอญจึงสวยงามประหนึ่งเป็นกษัตริย์ แต่เหตุที่มีลักษณะคล้ายผู้หญิง เนื่องด้วยญาติผู้หญิงเป็นผู้แต่งให้ ข้าวของเครื่องใช้ก็ใช้ของผู้หญิง ซึ่งงานบวชนี้ คนมอญโดยเฉพาะผู้หญิงจะเรียกว่า “งานส่งนาคเข้าโบสถ์” ด้วยผู้หญิงทำได้เพียงเท่านั้น ไม่สามารถข้ามเขตธรณีประตูโบสถ์เพื่อร่วมพิธีอย่างผู้ชายได้ จึงเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ญาติฝ่ายหญิงจะได้จับต้องตัวนาค


เจ้านาคขอลาพร้อมขมาบวช

ในช่วงบ่ายจะมีการแห่นาคเพื่อขอลาอุปปัชฌาย์และคู่สวด มีการตั้งขบวนแห่เพื่อขอลาบวช โดยต้องมาขมาที่ศาลใหญ่ของชุมชน คือ ศาลเจ้าพ่อช้างพันเพื่อให้ท่านได้รับรู้ว่าลูกหลานจะบวชเรียนเสียก่อน เวลาแห่นาคไปจะไม่ให้เจ้านาคเท้าสัมผัสพื้นดิน เพราะถือว่าเจ้านาคเป็นผู้บริสุทธิ์ต้องสะอาด

เสร็จจากศาลเจ้าพ่อช้างพันเจ้านาคจะไปวัดเพื่อขมาพระอุปปัชฌาย์ แล้วจึงไปลาพระวัดคู่สวด เมื่อถึงเขตวัดพ่อนาคต้องลงจากหลังม้า เมื่อขมาเสร็จแล้วจึงมาขึ้นมาใหม่การที่ไม่ขี่หลังม้าเข้ามาบริเวณวัดเพื่อเป็นการเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธ์

หลังจากขอขมาพระสงฆ์แล้วจะเคลื่อนขบวนกลับไปบ้านและจะมีการแย่งชิงตัวเจ้านาค ตามความเชื่อว่าคนจะบวชต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ จึงได้บวชเรียน มีการต่อรองเจรจากับเจ้าภาพกับเพื่อนฝูงว่าจะให้บวชหรือไม่ ช่วงแห่กลับจะขี่หลังคนแทนม้า และต้องเขย่า ขย่มให้นาคประคองตัวไม่หล่นลงจากหลังจึงสามารถบวชได้เปรียบเหมือนมารผจญ

ย่ำน้ำค้างวันบวช…ปลงกรรมฐาน
เช้าตรู่ของวันบวชนี้เจ้านาคจะแต่งกายนุ่งผ้าจีบหน้านาง สวมเสื้อขาว และใส่เสื้อคลุมสีขาวทับ มีการห่มผ้าสไบไขว้ สวมกำไลข้อมือ แต่งหน้าตาอย่างสวยงาม สวมชฏา โดยในเวลาย่ำรุ่งจะมีพิธี “ย่ำน้ำค้าง” โดยโบราณเชื่อว่าเป็นการให้เจ้านาคมาเดินปลงกรรมฐาน โดยเจ้านาคจะไม่สวมรองเท้าเช่นเดียวกับพระเมื่อออกบิณฑบาตร ทั้งนี้ลักษณะการแต่งตัวแบบเครื่องทรงเทวดามีมีความหมายว่าเป็นเครื่องทรงกษัตริย์เพื่อให้นาคได้ปลงกรรมฐาน เพื่อให้นาคได้ปลงเพราะเมื่อเดินแห่แล้วก่อนจะปลงผมนาค จะต้องถอดเครื่องประดับทั้งหมดออกเป็นการแสดงความสละ ความไม่ยึดติดในทรัพย์สมบัติในความงาม ขบวนแห่นี้จะเดินเท้าไม่มีการแห่อย่างเมื่อเย็นวาน กลุ่มจะเดินกันไปช้าๆ ร้องรำทำเพลงเป็นระยะทางไกล้ๆ ราว 30 นาที พิธีนี้ชาวมอญให้ความสำคัญก่อนพ่อนาคจะเข้าบวช หลังจากนั้นจะเดินกลับบ้านไปนำญาติพี่น้องเพื่อนบ้านตักบาตร และรอฤกษ์และปลงผมเพื่อบวชต่อไป

ปลงผมและสรงน้ำนาค

ตอนสายเริ่มพิธีปลงผมนาคและสรงน้ำ ก่อนทำพิธีพ่อนาคจะต้องขอขมาต่อพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่การปลงผมนาคตามประเพณีจะให้บิดามารดาตัดผมพ่อนาคก่อนตามด้วยญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงเรียงวงตามลำดับ มารดาจะเป็นผู้ที่ถือถาดปูลาดด้วยใบบัวคอยรอรับเส้นผมพ่อนาค เสร็จแล้วมารดาจะห่อเส้นผมด้วยใบบัวอฐิษฐานขอให้ลูกหลานบวชเรียน อยู่รมเย็นในร่มกาสาวพัตร์พุทธศาสนาจีรังยั่งยืน จากนั้นนำห่อผมไปไว้บนคบไม้ใหญ่ หรือลอยน้ำ ซึ่งเป็นความเชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ขั้นตอนการปลงผมเป็นขั้นตอนสำตัญที่สร้างความปิติแก่พ่อแม่และญาตผู้ใหญ่ถึงกับหลั่งน้ำตา

การอาบน้ำนาคหลังจากปลงผมเริ่มจากพ่อแม่และญาติพี่น้องตามลำดับ การแต่งกายหลังพิธีปลงผมแล้วนาคต้องนุ่งขาวห่มขาว และห่มผ้าสไบสีขาว ไม่แต่งหน้าหรือสวมใส่เครื่องประดับใดๆ การเลี้ยงพระสงฆ์เพล เรียกว่า “ฉลองก่อนเข้าโบสถ์” โดยการถวายภัตราหารเพลพระสงฆ์ 25 รูป ปัจจุบันลดจำนวนพระสงฆ์ลง

ตอนบ่ายจะเป็นขั้นตอนการบวชจะเริ่มนำนาคไปอุปสมบทที่วัด การแต่งกายของนาคจะนุ่งขาวห่มขาวไม่แต่งหน้าหรือใส่เครื่องประดับใดๆ ในอดีตมีผ้าปักที่เป็นผ้าคลุมศีรษะของนาคจากนั้นมีการจัดริ้วขบวนแห่นาคไปวัดซึ่งจัดต่างไปจากขบวนแห่ลาบวช โดยให้พ่อถือตาลปัตรพระสะพายบาตรเดินนำหน้าริ้วขบวน ตามด้วยแม่ถือพุ่มพานแว่นฟ้าผ้าไตรตาม ญาติพี่น้องถือพุ่มต้มเทียนและไทยธรรมดอกไม้บายศรีตามด้วยขบวนนักดนตรี และพ่อนาคที่ล้อมรอบด้วยญาติและเพื่อน พ่อนาคจะพนมมือถือดอกไม้ ธูปเทียนเดินตามขบวนด้วยความสงบ

จนถึงเขตวัดให้หยุดบูชาอฐิษฐานบอกเจ้าที่วัดหรือศาลเจ้าประจำวัด ให้ปกปักคุ้มครองเจ้านาคจากนั้นจึงนำนาคเข้าบริเวณโบสถ์แห่เดินประทักษิณเวียนขวามือรอบโบสถ์สามรอบเป็นการบูชาตามประเพณี และมีการเสมาของโบสถ์ คือเมื่อผ่านลูกนิมิตรจะต้องนำกรวยดอกไม้จากมือพ่อนาคที่พนมอยู่นั้นไปวางที่เสมาหนึ่งกรวย แล้วนำกรวยดอกไม้ใหม่ใส่มือนาคอีก ทำแบบนี้จนครบเสมาทั้งสามรอบส่วนรอบโบสถ์สุดท้ายจัดให้พ่อนาคหยุดนั่งลงบนเสื่อตรงพัทธสีมาโบสถ์ บิดามารดาทั้งสองเอาผ้าจีวรส่งให้พ่อนาคโดยวางพาดบนแขนทั้งสองข้างของเจ้านาค นาคจะนั่งท่าคุกเข่าพนมมือ ทำพิธีบูชา

โปรดญาติพี่น้องเกาะชายผ้าเหลือง

การที่นาคใหม่บวชแล้วให้ญาติพี่น้อง ได้รับส่วนกุศลจากการบวชเรียกว่า พิธีโปรดญาติโปรดชายผ้าเหลือง เป็นคติความเชื่อที่ว่าได้บุญมาก พิธีนี้เริ่มจากบิดามารดาออกเดินจูงพ่อนาคออกไปนอกกำแพงแก้วโบสถ์มารดาเดินตามหลังพร้อมญาติพี่น้อง เดินออกไปตามทางจนสุดทาง ผู้ร่วมงานก็นั่งรออยู่ระหว่างสองทางเดิน บิดามารดาจึงจูงพ่อนาคหันหน้ากลับโบสถ์เดินพนมมือถือผ้าไตรมาอย่างช้าๆ ส่วนญาติพี่น้องนาคเพื่อนฝูงที่รออยู่สองข้างทางเมื่อนาคเดินผ่านมาถึงตนก็พนมมือไหว้เอามือเกาะชายผ้าเหลืองเบาๆ พอเป็นพิธีแล้วเอาเงินเหรียญบาทใส่ผ่ามือนั้น “โปรยทานหรือโยนทาน” จึงก้าวข้ามทรณีประตูโบสถ์เข้าไปภายใน แต่โดยมากญาติพี่น้องจะอุ้มพ่อนาคเข้าไป เพราะเกรงจะถูกสะดุดทรณีประตูโบสถ์หกล้มเกิดการบาดเจ็บ เป็นความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่า “ถ้าเหยียบเป็นทรณีศาลจะเกิดเสนียดจัญไร ไม่ดีแก่พ่อนาค” เมื่อนาคเข้าไปนั่งในโบสถ์เรียบร้อยแล้วบิดาจะมอบผ้าไตรให้นาค นาคกราบและนั่งคุกเข่าประนมมือท่ามกลางคณะสงฆ์ กล่าวคำขอบวชต่อหน้าพระอุปปัชฌาย์ และต้องมีพระคู่สวดอย่างน้อย๕รูป มีการสอบถามคุณสมบัติของพ่อนาครวมทั้งข้อห้ามต่างๆ จากนั้นจะมีการสวดญัตติจตุตกรรม แล้วพระอุปปัชฌาย์ก็สั่งสอนพระใหม่ตามพระวินัยกรณีกิจที่ไม่ควรกระทำของเพศสมณะ และมีการถวายไทยทานสวดอนุโมทนาให้แก่พระบวชใหม่ซึ่งจะมีการกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้แก่บรรพระบุรุษ เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการบวชของชาวมอญ

__________________________

อ้างอิง
จวน เครือวิชฌยาจารย์. ประเพณีมอญที่สำคัญ. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, 2543
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา และคนอื่นๆ. ลุ่มน้ำแม่กลอง : ประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ “เครือญาติ” มอญ. กรุงเทพฯ : มติชน, 2547
สุจริตลักษณ์ ดีผดุง, พรทิพย์ อุศุภรัตน์ และ ประภาศรี ดำสอาด. สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ : มอญ. นครปฐม :สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล, 2542

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *