ค่ายวัดกลาง หรือ ค่ายญี่ปุ่นที่นครปฐม เชื่อว่าคนส่วนใหญ่แม้แต่ชาวนครปฐมคงเข้าใจเช่นเดียวกันว่า เป็นค่ายทหาร หรือ ค่ายเชลยศึกเช่นเดียวกับที่เมืองกาญหรือแห่งอื่น ๆ แต่ค่ายแห่งนี้เป็นค่ายโรงพยาบาล ในภาษาอังกฤษบ้างใช้ว่า NAKHON PATHOM, HOSPITAL POW CAMP หรือ Nakom Paton POW Hospital Camp ในความหมาย โรงพยาบาลค่ายเชลยศึกนครปฐม ขณะที่บางแห่งเรียกเพียงสั้น ๆ ว่า Nakom Pathom Hospital Camp หรือ ค่ายโรงพยาบาลนครปฐม บางแห่งเรียก Nakhon Pathom Ward และอีกหลากคำเรียกรวมทั้งสะกดคำ Nacompaton, Nakom Paton, Nakompaton Nakhon Pathom สุดแต่ผู้บันทึกจะถ่ายถอดเสียงที่เขาสัมผัส ค่ายแห่งนี้เป็นค่ายที่ญี่ปุ่นใช้แรงงานเชลยศึกสร้างขึ้นเมื่อธันวาคม พ.ศ. 2486 เพื่อดูแลผู้ป่วยเรื้อรังและผู้ป่วยหนัก
ค่ายเชลยศึกนอกพื้นที่ 4 เกาะหลักของญี่ปุ่น
ความสนใจเรื่องค่ายญี่ปุ่นของผู้เขียน เมื่อสืบค้นได้พบเรื่อง PRISONER OF WAR CAMPS IN AREAS OTHER THAN THE FOUR PRINCIPAL ISLANDS OF JAPAN เป็นรายงานเกี่ยวกับค่ายเชลยศึกที่ตั้งอยู่ในพื้นที่นอกเหนือจาก 4 เกาะหลักของญี่ปุ่น เขียนขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ 31 July 1946 (31 กรกฎาคม 2489)โดย กัปตันเจมส์ ไอ. นอร์วูด (CAPT. JAMES I. NORWOOD) และ กัปตันเอมีแอล. เช็ก (CAPT. EMILY L. SHEK) ซึ่งทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานข้อมูลเชลยศึกอเมริกัน รายงานนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับค่ายโรงพยาบาลที่นครปฐม ด้วยการพึ่งพาเทคโนโลยีในการแปล จึงขอนำรายละเอียดด้านต่าง ๆ จากรายงานดังกล่าวมาเล่าสู่ ดังนี้
สถานที่ตั้ง: ค่ายโรงพยาบาลนครปฐม เป็นสถานที่หลักสำหรับเชลยศึกที่ทำงานบนเส้นทางรถไฟสายพม่า-ไทย จากมะละแหม่งมายังกรุงเทพฯ นครปฐมอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ไปทางตะวันตกประมาณ 60 กิโลเมตร ค่ายเชลยศึกแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์และมีพืชผลมากมาย ตั้งอยู่บนเส้นทางตรงจากกรุงเทพฯ ไปย่างกุ้ง เป็นเส้นทางสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่กองทัพญี่ปุ่นใช้ในการเคลื่อนทัพและสื่อสารโดยตรงระหว่างหน่วยต่าง ๆ ไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออันเป็นเป้าหมายทางทหาร พิกัด คือ 13º49’N, 100º5’E ค่ายแห่งนี้กองกำลังญี่ปุ่นเป็นผู้ควบคุม โดยเชลยศึกกลุ่มแรกที่ถูกนำตัวเข้ามาอยู่ในค่ายเป็นชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย และดัตช์ สร้างขึ้นเพื่อรองรับเชลยศึกจำนวนถึง 10,000 คน
เชลยศึก: ตัวเลขสูงสุดของเชลยศึกที่นี่คือ 7,500 คน เป็นชาวอังกฤษ 4,000 คน ชาวออสเตรเลีย 2,500 คน ชาวดัตช์ 1,000 คน ชาวอินเดีย 75 คน และชาวอเมริกัน 65 คน ในกลุ่มชาวอเมริกันมีทหารบก 33 คน ทหารเรือ 32 คน และทหารนาวิกโยธิน 5 คน นายทหารเรือชั้นโท L.W. Rogers ( Lt. (jg) L.W. Rogers) และนายทหาร Heinan (Lt. Heinan) เป็นนายทหารอเมริกันระดับสูงที่นี่
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย: ค่ายแห่งนี้มีนายทหารญี่ปุ่นเป็นผู้บัญชาการหลายคนในช่วงเวลาต่าง ๆ กัปตันวาคิมัสซิ (Capt.Wakimassi) ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการค่าย 80 กิโลเมตร (ภายใต้พันเอกคุนิโยชิ ทานากะ ผู้บัญชาการหลัก) เขาเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการค่ายนี้ ล่ามที่ค่าย 80 กิโลเมตร ก็อยู่ที่ค่ายนี้ แต่ไม่ได้อยู่ในฐานะล่าม ผู้บัญชาการค่ายในช่วงสี่เดือนสุดท้ายคือ “Puss in Boots” ซึ่งเป็นชื่อเล่น เนื่องจากไม่ทราบข้อมูลระบุตัวตนอื่น ๆ ทหารชั้นประทวนทุกคน รวมถึงสิบเอกประจำการ (ทหารชั้นประทวนซึ่งทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในค่าย) และอื่น ๆ เป็นชาวญี่ปุ่น ส่วนทหารยามซึ่งมีจำนวนประมาณ 50 คน เป็นชาวเกาหลีทั้งหมด
สภาพทั่วไป:
(a) สิ่งอำนวยความสะดวกด้านที่อยู่อาศัย: มีโรงเรือน 50 หลังในค่ายแห่งนี้ บางหลังทำจากไม้และบางหลังทำจากไม้ไผ่ อาคารเหล่านี้เป็นหลังคามุงจาก ยาว 100 เมตร กว้าง 20 ฟุต (ราว 6 เมตร) ผนังของอาคารส่วนใหญ่ทำจากไม้ไผ่สานแบบ “Lahala” ที่พบในฮาวาย ภายในมีทางเดินกลางเป็นดินอัดแน่น มีพื้นที่นอนกว้าง 7 ฟุต (ราว 2.13 เมตร) ทั้งสองด้าน โดยวางเท้าเข้าหาทางเดินกลาง เว้นระยะห่าง 2 เมตรภายในโรงเรือนหากมีพื้นที่เพียงพอ คนส่วนใหญ่ในค่ายเป็นผู้ป่วย แทบทุกโรงเรือนจึงมีลักษณะเป็นหอผู้ป่วยในโรงพยาบาล
(b) ห้องส้วม: มีห้องส้วมหนึ่งหลังระหว่างโรงเรือนสองหลังที่สร้างขึ้นอย่างดี เป็นหลุมคอนกรีตมีฝาไม้และมีห้องส้วมแยกกัน ด้านข้างเปิดโล่ง ใช้ใบไม้และกระดาษหนังสือเก่าแทนกระดาษชำระ มีร้านขายของชำขายกระดาษชำระคุณภาพดี แต่ส่วนใหญ่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ และส้วมหลุมนี้ไม่ต้องย้ายที่เนื่องจากมีการตักออกทุกวัน และมีการจัดหามะนาวในปริมาณที่เพียงพอเพื่อสุขอนามัย
(c) การอาบน้ำ: ค่ายนี้มีน้ำเพียงพอตลอดเวลา มีการเจาะบ่อบาดาล 100 ฟุต (ราว 30.48 เมตร) 3 บ่อ มีพื้นที่อาบน้ำ 3 แห่ง ขนาด 50 ตารางฟุต (ราว 4.7 ตารางเมตร) ทำเป็นแพไม้ไผ่ให้ยืนอาบ มีร่องระบายน้ำลึก 2 ฟุต แต่ไม่สามารถระบายน้ำได้อย่างเหมาะสม พวกเขาได้รับอนุญาตให้อาบน้ำทุกวันโดยใช้กระป๋องน้ำมัน 5 แกลลอนใส่น้ำไปอาบในพื้นที่อาบ มีถังไม้ไผ่ให้ใช้ มีสบู่จำนวนเล็กน้อยมักใช้โดยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เป็นหลัก เพื่อดูแลผู้ที่ป่วยเกินกว่าจะอาบน้ำเอง
(d) โรงอาหาร: มี 1 โรงครัวสำหรับโรงเรือนห้าหลัง โรงอาหารจะใช้สำหรับปรุงอาหารเท่านั้น อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วจะมีผู้ช่วยที่ได้รับมอบหมายนำไปยังโรงเรือนและเสิร์ฟให้กับเชลยศึก
(e) อาหาร: อาหารดีและมีมากมาย อาหารประจำวันประกอบด้วยข้าวและสตูเป็นหลัก มีเนื้อสัตว์ในปริมาณที่เหมาะสม ผักประกอบด้วยแครอท หัวไชเท้า กระเจี๊ยบเขียว และผักใบเขียวที่จัดหาจากกองทัพญี่ปุ่น บางครั้งมีปลาบ้าง อาหารถูกเตรียมโดยเจ้าหน้าที่เชลยศึก ครัวแต่ละหลังมีเจ้าหน้าที่โรงอาหารและหัวหน้าโรงอาหารดูแล เจ้าหน้าที่โรงอาหารรายงานว่าทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เนื่องจากค่ายแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ เชลยศึกจึงมีอาหารเพียงพอที่จะกินเสมอ
(f) สิ่งอำนวยความสะดวกทางการแพทย์: มีแพทย์ทหาร 25 คนในบรรดาแพทย์เชลยศึกของค่ายแห่งนี้ เป็นชาวอังกฤษ ออสเตรเลีย และดัตช์ และแพทย์ชาวญี่ปุ่นจะเป็นผู้ตรวจสุขภาพเป็นระยะ ๆ เพื่อพิจารณาว่านักโทษควรกลับไปทำงานยังค่ายแรงงานหรือไม่ โคล โคตส์ เป็นแพทย์ทหารชาวออสเตรเลียที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บุคลากรทางการแพทย์และเป็นศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ ยาญี่ปุ่นมีให้บริการเพียงเล็กน้อยที่นี่ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2487 การจัดส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ของสภากาชาดอเมริกันมาถึง มีอุปกรณ์ชุดปฐมพยาบาลและยาต้านมาลาเรีย (Atabrine) ยาซัลฟา (Sulphur drugs) ผ้าพันแผล และยาฆ่าเชื้อ สิ่งเหล่านี้ถูกใช้ด้วยความระมัดระวังและใช้ได้นานพอสมควร
(g) เสบียง: 1.สภากาชาดอเมริกัน: ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2487 มีการจัดส่งอาหารของสภากาชาดอเมริกันในอัตราหนึ่งห่อบรรจุภัณฑ์ต่อสิบคน เป็นการแจกจ่ายอาหารของสภากาชาดเพียงครั้งเดียว ขณะเดียวกันชาวอเมริกันทุกคนในค่ายนี้จะได้รับรองเท้าหนึ่งคู่ 2. สิ่งของจากญี่ปุ่น: มีการแจกจ่ายเสื้อผ้าเพียงไม่กี่ครั้ง เป็นเสื้อผ้าเก่าจากโกดังญี่ปุ่นและเสื้อผ้าบางส่วนจากสภากาชาดอเมริกัน
(h) ไปรษณีย์: สิทธิพิเศษในการส่งจดหมายในพื้นที่นี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เฉพาะค่ายใดค่ายหนึ่ง แต่ครอบคลุมไปถึงพื้นที่ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับค่ายเชลยศึก ในช่วงเวลาที่ชาวอเมริกันอยู่ในค่ายนี้อนุญาตให้ส่งโปสต์การ์ดได้สองใบ มีจดหมายส่งมาเพียงไม่กี่ฉบับ
(i) การทำงาน: เนื่องจากที่นี่เป็นค่ายโรงพยาบาล จึงมีการทำงานเพียงเล็กน้อย นายทหารมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาค่ายและหน้าที่การบริหาร ในเดือนพฤศจิกายน 2487 มีการขุดคูลึก 2 เมตร กว้าง 4 เมตร รอบบริเวณค่ายทั้งหมด ทำโดยเชลยศึกที่ไม่ได้ป่วยหนักจริง ๆ (หมายถึงผู้ป่วยบนเตียง) งานนี้ค่อนข้างง่าย เมื่อคนหายดีพอที่จะทำงานเขาก็จะถูกส่งออกไปยังค่ายแรงงานหรือค่ายบำรุงรักษาบนทางรถไฟสายพม่า-ไทย
(j) การปฏิบัติ: ค่ายโรงพยาบาลนครปฐมซึ่งจัดตั้งโดยชาวญี่ปุ่น เมื่อเทียบกับค่ายอื่น ๆ ได้รับการยอมรับว่า การปฏิบัติที่นี่ดี อย่างไรก็ตามวินัยยังคงเข้มงวด
(k) ค่าจ้าง: นายทหารไม่ว่าจะทำงานหรือไม่ จะได้รับค่าจ้าง 30 ทิคอล (ticals) 1 ทิคอล มี 100 เซ็นต์ ส่วนทหารประจำการจะได้รับค่าจ้างวันละ 20, 30 และ 40 เซ็นต์ เมื่อทำงานเท่านั้น ค่าของเงินญี่ปุ่นที่ตั้งขึ้นนี้มีตัวอย่างการซื้อขาย คือ 1 ทิคอล ซื้อไข่เป็ดได้ 6 ฟอง นายทหารได้รับค่าจ้างตามระดับยศเดียวกัน ซึ่งจะถูกหัก 60 ทิคอล จากเงินเดือนเป็นค่าเช่าและค่าอาหาร และได้รับ 30 ทิคอล สำหรับใช้ส่วนตัว ส่วนที่เหลือจะถูกเครดิตเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของนายทหาร
(l) กิจกรรมนันทนาการ: ในค่ายแห่งนี้ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านนันทนาการ
(m) กิจกรรมทางศาสนา: ในค่ายแห่งนี้ มีบาทหลวงคาทอลิก 3 คน และนักบวชโปรแตสแตนต์ 3 คน อนุญาตให้จัดพิธีทางศาสนาได้สัปดาห์ละครั้ง โดยครึ่งหนึ่งของโรงเรือนถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเป็นโบสถ์
(n) ขวัญกำลังใจ: ขวัญกำลังใจในค่ายนี้ค่อนข้างดี มีกรณีที่บ้าคลั่งเพียงไม่กี่กรณี ซึ่งไม่มีชาวอเมริกัน มีการตัดแขนขา 120 ครั้ง แต่โดยรวมแล้วไม่ได้ทำให้ขวัญกำลังใจลดลง
การเคลื่อนย้าย: เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2488 ด้วยความกลัวการรุกรานผ่านพม่า ทางการญี่ปุ่นจึงตัดสินใจแยกนายทหารและทหารทุกคน ในวันนี้กองกำลังนายทหารออกเดินทางจากนครปฐมไปยังกาญจนบุรี โดยนั่งรถไฟขบวนเปิดโล่งจากนครปฐมไปกาญจนบุรีตลอดคืน สภาพการเดินทางคับแคบ มีผู้ชายหลายคนในกลุ่มที่นอนบนเปลหาม ทั้งนี้ไม่ได้ระบุว่าค่ายนี้ได้รับการปลดปล่อยเมื่อใด
เอกสารปฐมภูมิ
ข้อมูลเกี่ยวกับค่ายโรงพยาบาลที่นครปฐมจากรายงานฉบับดังกล่าว เท่าที่พบจากเอกสารชิ้นนี้มีเพียงเท่านี้ เมื่อสืบค้นเพิ่มเติมได้พบเว็บไซต์ของศูนย์วิจัยเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแหล่งรวมข้อมูลปฐมภูมิ (primary source) ที่ได้มาจากเหตุการณ์ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีรายละเอียดเกี่ยวกับทหารและพลเรือนจากประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นจับเป็นเชลยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยให้ข้อมูลชีวิตความเป็นอยู่ สภาพการถูกกักขัง การปฏิบัติต่อเชลย และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในค่ายเชลยนั้น ๆ
บทความที่ได้แปลข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเอกสารต้นฉบับชื่อเดียวกันนี้ โดยเอกสารต้นฉบับซึ่งเป็นข้อมูลปฐมภูมิ มีรายงานเกี่ยวกับค่ายเชลยศึกของญี่ปุ่นในพื้นที่อื่นนอกจากสี่เกาะหลักของญี่ปุ่น 15 เรื่อง ซึ่งรวบรวมจากคำแถลงการณ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรของชาวอเมริกันที่ถูกคุมขังในค่ายเหล่านั้น ค่ายในประเทศอื่น ๆ ที่มีการกล่าวถึง คือ จีน แมนจูเรีย เกาหลี มาเลเซีย พม่า ไซง่อน (อาณานิคมของฝรั่งเศส French Indo-China) ซึ่งในแต่ละแห่งจะให้รายละเอียดประเด็นต่าง ๆ เช่นเดียวกับค่ายโรงพยาบาลที่นครปฐม

Sir Albert (Bertie) Coates… ศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดในไทย-พม่า
ดังที่ทราบแล้วว่าค่ายที่นครปฐมแห่งนี้เป็นค่ายโรงพยาบาล ในบรรดาเชลยศึกแต่ละเชื้อชาติในค่ายจะมีแพทย์ทหารหรือบุคลากรทางการแพทย์ของพวกเขารวมอยู่ด้วย ในจำนวนนี้แพทย์ชาวออสเตรเลียผู้ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดในไทย-พม่า คือ ดร.อัลเบิร์ต โคทส์ (Albert Coates หรือ ภายหลังได้รับอวยยศเป็น Sir Albert (Bertie) Coates)
เมื่อสร้างทางรถไฟเสร็จในปลาย ธันวาคม พ.ศ. 2486 ดร. โคทส์ ถูกย้ายออกจากค่ายกิโลเมตรที่ 55 ซึ่งปิดลงเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2486 โดยญี่ปุ่นได้แบ่งผู้ป่วยออกเป็นสองกลุ่ม คือ ผู้ป่วยเล็กน้อยและผู้ป่วยหนัก คำว่า ‘ป่วยเล็กน้อย’ หมายถึงคนที่ไม่น่าจะตายทันที แต่เป็นคนที่มีโรคซึ่งอาจหายหรืออาจถูกทำให้ตายภายใน 3-4 เดือน ผู้ป่วยถูกขนส่งโดยรถบรรทุกผู้ป่วยเล็กน้อยถูกส่งไปยังกาญจนบุรีและผู้ป่วยหนักไปยังนครปฐม
นับแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2486 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2487 เชลยศึกส่วนใหญ่ที่ทำงานทางรถไฟ จะถูกส่งมายังค่ายต่าง ๆ ในประเทศไทย เช่น ช่องไก่ ท่ามะกา ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี หนองปลาดุก และนครปฐม โดยญี่ปุ่นได้ส่ง ดร.โคทส์ มาที่ประเทศไทยในเดือนธันวาคมนั้น จากนั้นดร.โคทส์ และเจ้าหน้าที่อีกหลายคนก็ถูกส่งจากท่ามะกามาที่นครปฐม เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ที่นี่ เขาได้จัดตั้งคณะกรรมการการแพทย์ทั่วไปร่วมกับพันเอกมัลคอล์ม (Lt-Col Malcolm) ชาวอังกฤษ และพันเอกลาร์เซน (Lt-Col Larsen) ชาวดัตช์ เพื่อกำหนดนโยบายทางการแพทย์
ดร.โคทส์ ได้รับมอบหมายให้พัฒนาโรงพยาบาลและค่ายฟื้นฟูแห่งใหม่นี้ พร้อมกับครันซ์ (Krantz) และกัปตันแมคเนลลี (Capt McNeally) ซึ่งทำหน้าที่ช่วยเหลือควบคุมดูแลเชลยศึกจำนวนมากที่เดินทางมาถึง เชลยศึกหลายคนจากหน่วยที่ 2/4 (หมายถึง หน่วยที่ 4 กองพันที่ 2) ที่มีส่วนร่วมในการสร้างค่ายโรงพยาบาลแห่งนี้ ได้แก่ เอริค เฟรเซอร์ (Eric Fraser) และแฟรงค์ “บลู” เอวานส์ (Frank ‘Blue’ Evans)
โรงพยาบาลค่ายขนาดใหญ่
ค่ายแห่งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 200 เอเคอร์ (ประมาณ 500 ไร่) เชลยศึกและแรงงานชาวไทยได้ช่วยกันสร้างโรงพยาบาลค่ายขนาดใหญ่เพื่อรองรับผู้ป่วยและบาดเจ็บ 10,000 คน ภายในเดือนมกราคม พ.ศ. 2487 โรงเรือนที่สร้างมีลักษณะเป็นกระท่อมขนาดใหญ่ 50 หลัง สำหรับผู้ป่วย 200 คนต่อหลัง ไม่มีเตียง มีเพียงแพไม้ที่ผู้ป่วยนอนบนเสื่อหญ้า (grass mats อาจหมายถึงเสื่อกก) มีโรงเรือนทางการแพทย์แยกต่างหาก และโซนของผู้ป่วยโรคบิดจำนวน 1,500 หน่วยก็ถูกแยกบริเวณ ที่นี่มีห้องส้วมคอนกรีตและห้องผ่าตัดที่ค่อนข้างดี หมายถึง “ดีกว่าค่ายอื่น ๆ ส่วนใหญ่”
วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2487 ดร.โคทส์ ถูกเรียกตัวไปที่สำนักงานใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อรับแจ้งว่าจะมีผู้ป่วย 1,000 คนเดินทางมาถึงประมาณวันที่ 30 มีนาคม จากรายงานต่าง ๆ ในเวลาเพียง 3 เดือน ค่ายแห่งนี้มีผู้ป่วย 8,000-10,000 คน (ตัวเลขจากข้อมูลนี้ ต่างจากข้อมูลที่แปลมาก่อนหน้า) เป็นผู้ป่วยหนักที่เหลือจากทางรถไฟพม่า-ไทยทั้งหมด ยกเว้นกองกำลัง F และ H ที่ถูกส่งกลับไปยังสิงคโปร์ ผู้พิการแขนขาจากหน่วยที่ 2/4 ที่ยังคงอยู่ที่นครปฐมจนถึงสิ้นสงคราม ได้แก่ ซิด กอร์ริงจ์ (Syd Gorringe) เอริค ไรอัน (Eric Ryan) ทอม บาร์เบอร์ (Tom Barbour) และอัลลัน แบมฟอร์ด (Allan Bamford) นอกจากผู้พิการแขนขาจำนวนมากแล้ว เชลยศึกยังถูกส่งมายังค่ายที่นครปฐมเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจของพวกเขาหลังจากการก่อสร้างทางรถไฟเสร็จสิ้น และเมื่อสุขภาพของพวกเขาดีขึ้นเล็กน้อย ก็จะถูกส่งออกจากค่ายนี้เพื่อกลับไปใช้แรงงานต่อไป
ที่โรงพยาบาลค่ายนครปฐมแห่งนี้ ดร.โคทส์ ริเริ่มจัดทำทรัพยากรทางการแพทย์ด้วยความกระตือรือร้น เขารับผิดชอบปรับปรุงหลายอย่าง เช่น จัดหาอุปกรณ์เทียมสำหรับแขนขา การถ่ายเลือด และอุปกรณ์ผ่าตัด เขากล่าวว่า “ความอดทนของผู้ป่วย ความรอบรู้ของเพื่อนร่วมค่ายที่ป่วยน้อยกว่าหลายคน ความทุ่มเทของเจ้าหน้าที่ระดับประทวนของ RAMC และ AASMC และความจงรักภักดีของแพทย์ที่รวมตัวอยู่รอบตัวฉัน พร้อมกับความยินยอมแบบเฉยๆ (แต่ไม่มีการช่วยเหลืออย่างจริงจัง) ของชาวญี่ปุ่น ทำให้ฉันสามารถกอบกู้คนส่วนใหญ่จาก 10,000 คนที่ผ่านมาในมือของเราในปีนั้น” นับว่าโชคดีที่สภาพ “สปีโด” และปริมาณอาหารเริ่มดีขึ้น อัตราการเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2487-2488 อยู่ที่ประมาณ 3%
เมื่อญี่ปุ่นยอมจำนน
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2487 ญี่ปุ่นเริ่มจัดการส่งกลุ่มแรงงานไปยังเกาะบ้านเกิดของญี่ปุ่น โดยเดิมทีมีแผนจะส่งเชลยศึกที่มีทักษะทางเทคนิคหรือความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมหนัก แต่ไม่มีเชลยศึกชาวออสเตรเลียคนใดพร้อมที่จะยอมสมัครใจในความพยายามทางสงครามของญี่ปุ่น เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อญี่ปุ่นได้ทำสิ่งเลวร้ายที่สุดในการใช้เชลยศึกด้วยความละเลย การขาดแคลนอาหารและเวชภัณฑ์ แม้กระทั่งการถูกตีและทำงานจนตายระหว่างภาวะขาดแคลนนั้น เมื่อญี่ปุ่นตระหนักว่าแผนเดิมทำไม่ได้ พวกเขาก็ตั้งใจจะส่งเชลยศึก 10,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่คือทหารชั้นประทวนกับนายทหารที่เพียงพอจะควบคุมไปยังญี่ปุ่นเพื่อใช้แรงงานทั่วไป และสุดท้ายเมื่อญี่ปุ่นยอมแพ้ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 นครปฐมจึงกลายเป็นศูนย์รวมของกองกำลังพันธมิตรสำหรับเชลยศึกที่ถูกย้ายไปกรุงเทพฯ เพื่อส่งต่อไปยังสิงคโปร์โดยตรง หรือจากทางย่างกุ้งไปยังสิงคโปร์
ดร.โคทส์อัศวินของราชินี
เมื่อสงครามยุติ ดร.โคทส์ กลับไปที่เมลเบิร์นในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2488 และเกษียณอายุราชการเป็นทหารกองหนุนเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมในปีนั้น และในปี พ.ศ. 2489 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น OBE (Officer of the Order of the British Empire)) ดร.โคทส์ เป็นพยานหลักในศาลอาชญากรรมสงครามโตเกียวในปี 1946 เขาเป็นผู้แทน RSL (“Returned Servicemen’s League” หมายถึง สมาคมทหารผ่านศึก) ในการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพในสหรัฐอเมริกาในปี 1951 และได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินโดยพระราชินีในปี 1955
…
ที่มาข้อมูล
http://www.mansell.com/pow_resources/camplists/POW_camps_in_areas_other_than_Japan_1946-07-31.pdf
https://www.far-eastern-heroes.org.uk/freeing_the_demons/html/nakom_paton.htm