วิถีตลาดด้วยเกษตรอินทรีย์ ในนครปฐม
โดย อาจารย์ ดร. นงนุช โรจนเลิศ (วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2546)
การปลูกผักปลอดสารพิษ ด้วยการใช้เกษตรอินทรีย์ หรือรูปแบบอื่นถือเป็นการปฏิวัติเขียวในประเทศไทย
การปฏิวัติทำให้ผู้ที่ต้องการทำงานด้านนี้จริงๆ มีความเหนื่อยยากทั้งในแง่ของวิธีการปลูกผัก ตลาดที่ยังไม่มีรองรับ รวมทั้งต้องทำความเข้าใจกับสังคม แต่พอทำแล้วคาดว่าจะสามารถฝ่าฟันออกไปได้ เช่นเดียวกับชุมชนปฐมอโศก
การเป็นเกษตรกรรายย่อย ที่เหมาะกับประเทศไทย ตรงไหนเหมาะสมและมีตลาดที่ยั่งยืนที่สามารถให้อยู่ได้
เริ่มอย่างไร
1. จากตัวเอง ที่ประสงค์จะดูแลสุขภาพ โดยปลูกผักไว้ใช้ในครอบครัว ที่เหลือส่งขาย
2. จากรัฐ ที่มีนโยบายให้มา แต่คนที่รับต้องหาวิธีการด้วยตนเอง
3. จากการเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น เช่น จากปฐมอโศก
ชุมชนปฐมอโศก
นำคุณธรรม นำชีวิต ด้วยการทำเกษตรแบบปลอดสารพิษ ถือเป็นการ กู้ชีวิต กู้ดิน กู้น้ำ กู้อากาศ กู้ชาติ จึงเป็นการ “กู้” ที่ยิ่งใหญ่ที่ชาวชุมชนกันเข้ามาทำงานในด้านนี้ จนกระทั่งเป็นผู้นำ ซึ่งทางชุมชนยินดีต้อนรับผู้ที่สนใจเข่าสู่กิจกรรมเครือข่าย ไร้สารพิษ โดยมีเงื่อนไขที่ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติตัว ให้ปลอดจากอบายมุข ชุมชนมีการติดตามทั้งในเรื่องของการประกอบอาชีพ และคำแนะนำในการใช้ชีวิต มีการตรวจสอบคุณภาพ มีตลาดรองรับ
คลองจินดาจากสามพราน
ในอดีตชุมชนเกษตรการของชุมชนในพื้นที่นิยมปลูกข้าวเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาเกษตรกรในพื้นที่ เริ่มปรับพื้นที่จากการทำนาข้าว เป็นการปลูกผักและมันสำปะหลังมากขึ้น ซึ่งเริ่มมีการทดลองใช้สารเคมีในการทำการ เกษตรกร เพราะมีความเชื่อว่าการใช้สารเคมีจะทำให้ได้รับผลผลิตและรายได้เพิ่มขึ้น การดำเนินงานอาศัยนักวิชาการของ มหาวิทยาลัยศิลปากร เข้ามาช่วยเหลือ แต่ผลผลิตที่ได้ยังมีปัญหาด้านคุณภาพ เช่น จากการนำสินค้าไปจำหน่าย ที่ตลาดนัดวัดปรีดาราม มีลูกค้าน้อยและไม่สนใจเรื่องผัก-ผลไม้ปลอดสารพิษ จึงทำให้ต้องนำสินค้าที่เหลือจากการจำหน่าย ไปส่งพ่อค้าคนกลาง แต่จะถูกกดราคาเนื่องจากมีความสวยงามสู้จากผู้ที่ปลูกด้วยการใช้สารเคมีไม่ได้
ยุวเกษตรกรจากวัดสำโรง นครชัยศรี
เป็นเกษตรกรตัวจริงที่ทั้งปลูกและจำหน่าย ส่วนทางด้านการตลาดมีผู้สนับสนุน เช่น จากสำนักการเกษตร เกษตรอำเภอ เจ้าอาวาสวัดกลางคูเวียง และผู้ว่าราชการจังหวัด (นายมานิต ศิลปอาชา)ส่วนทางด้านคุณภาพ เป็นการบอกต่อจากลูกค้า และการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการพูดคุยกับลูกค้าถึงวิธีการปลูกและแนวคิดในการทำงาน เช่น ไม่อยากเป็นหนูทดลองยา จนกระทั่งมีลูกค้าประจำ และแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว และมีกรมวิชาการเกษตร เข้าไปช่วยดูแล นอกจากนี้ยังได้รับ การอบรมเพิ่มเติมจากหน่วยงานต่างๆ เกี่ยวกับเกษตรปลอดสารพิษเป็นการใช้เงินน้อย แต่ใช้แรงงานมากขึ้น เช่น การใช้ตัวห้ำตัวเบียน
กระเจี๊ยบ : จากกำแพงแสนสู่ญี่ปุ่น
กระเจี๊ยบเขียวปลูกเพื่อส่งออกโดยมีบริษัททานิยามาสยาม เป็นผู้กำหนดมาตรฐาน และเป็นการซื้อขายล่วงหน้า 1 ปี (มีสัญญา) โดยเกษตรกรส่งให้ปลูกและส่งออก ส่วนสินค้าที่ตกเกรด (ไม่ได้ขนาดในการบรรจุหีบห่อ) จะส่งโดยไปรับซื้อเองที่ ตลาดปฐมมงคล โดยแม่ค้าที่ซื้อรู้ว่าปลอดสารพิษ แต่ลูกค้าไม่ทราบ เพราะไม่มีการแจ้งหรือแสดงว่าเป็นผักปลอดสารพิษ อย่างไรก็ตามก็ยังอยากปลูกเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยด้วย
ลูกหนี้ธกส. ที่พักชำระหนี้
ได้รับการอบรมจากปฐมอโศก ในการทำเกษตรอินทรีย์ต้องใช้ความอดทน เพราะผักจะโตช้าและความสวยงามสู้ไม่ได้ ทำให้จำหน่ายได้ยาก ปัจจุบันจำหน่ายที่ตลาดนัดปฐมอโศก (เช้าวันอาทิตย์)
แหล่งจำหน่าย
1. ตลาดนัดปฐมอโศก
2. ตลาดนัดตามสถาบันการศึกษา
3. ส่งให้บริษัทแม่
4. ตลาดสดทั่วไป โดยจำหน่ายเช่นเดียวกับผักที่ปลูกตามปรกติ (ใช้สารเคมี)
ทิศทางเป็นอย่างไร
1. ตลาดที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรหน้าใหม่ หรือการสร้างตลาดใหม่
2. ราคาที่ยุติธรรม แต่ต้นทุน ?
3. คุณภาพจะเลือกรูปลักษณ์ หรือคุณภาพ ของผัก
4. ศึกษาความต้องการของลูกค้า
5. กระบวนการคัดกรองคุณภาพเพื่อให้คำรับรองแสดงความเป็นมาตรฐาน ที่เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงได้
6. การสร้าง “ตรา” สินค้าที่สามารถบ่งบอกความเป็น “ปลอดสารพิษ”
เช่นเดียวกับ บริษัทใหญ่ เช่น เจียไต๋ วัชมน วังน้ำเขียว