ครั้งแรกกับการนั่งเครื่องบินไปเที่ยวญี่ปุ่น!

ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของ Covid-19 หลาย ๆ คนก็คงจะโหยหาการท่องเที่ยวเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะในประเทศหรือนอกประเทศ และในปี 2023 นี้ ก็ถือเป็นโอกาสอันดี เพราะสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย โรคนี้ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะหลาย ๆ คนได้รับวัคซีน เพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการหนักเวลาติดเชื้อ หลาย ๆ สถานที่ หรือหลาย ๆ ประเทศก็เริ่มเปิดให้ท่องเที่ยวมากขึ้น แล้ววันหนึ่งโทรศัพท์สายเข้า เสียงจากปลายสายถามว่า

“ฮัลโหล จา พี่โจ้ให้มาถามว่าจะไปญี่ปุ่นไหม”

“ห้ะ ออกตังให้เปล่า?”

“จ่ายเองสิ” เสียงแว่วจากปลายสาย

“ขอคิดก่อนนะ”

แล้วสุดท้ายก็ไม่รู้ไปตกลงปลงใจตอนไหน สรุปว่าคิดอยู่ไม่กี่วันก็ตอบตกลงไปแล้ว และด้วยความที่ต้องเก็บเงินไว้ใช้ในทริปนี้ เลยต้องเททริปภูกระดึงที่ตกลงกับพี่ ๆ ไปโดยปริยาย แอบรู้สึกผิดอยู่เล็ก ๆ แต่ว่าโอกาสครั้งนึงจะได้ไปญี่ปุ่นเลยนะจริณญา! ทุกอย่างดูตื่นเต้นไปหมด จะได้ขึ้นเครื่องบินออกนอกประเทศครั้งแรกเลยนะ ตื่นเต้นตั้งแต่วันไปทำพาสปอร์ต เตรียมเสื้อผ้าที่คิดแล้วคิดอีก แต่สุดท้ายก็มาจัดกระเป๋าเอาตอนก่อนเดินทาง 1 วันเท่านั้นแหละ เลือกไม่ถูก ไม่รู้จะเอาเสื้อผ้าไปเท่าไหร่ดี เพราะทริปนี้อยู่นานถึง 9 วัน

แล้ววันที่จะต้องบินก็มาถึง จาต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 เพราะต้องออกจากคอนโดตอนตี 4 เพื่อไปเช็คอิน โหลดกระเป๋า และรอขึ้นเครื่อง แล้วพอได้เข้า Gate ไป ราคาอาหารที่แสนธรรมดาอย่างมาม่าก็แพงลิ่ว ฟาสต์ฟู้ด น่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มกว่า 555555 แล้วเวลาก็ผ่านไปไวเหมือนโกหก ก็โกหกน่ะสิ 6 ชั่วโมงนี่นานเหมือนกันนะ ดูหนังจบไป 3 เรื่องเลยแหละ พอถึงสนามบินนาริตะ (Narita Airport) ก็แทบจะหมดแรงแล้ว 555555 แต่เราต้องนั่งรถไฟต่อเพื่อลงสถานีอูเอโนะ (Ueno) แล้วไปเปลี่ยนขบวนเพื่อไปสถานีอิริยะ (Iriya) เพราะว่าเราจองที่พักไว้ย่านนี้

พอเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน สิ่งแรกที่สัมผัสได้ ลมเย็นมากกกกกกก แทบจะร้อง Let’s it go เป็นเจ้าหญิงเอลซ่า นี่สิอากาศที่ใฝ่ฝัน กำลังดีเลย ไม่หนาวเกินไป

แล้วชาวทริปก็เดินไปเรื่อย ๆ จนไปถึงที่พัก ระหว่างทางก็สังเกตุสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ มีซุปเปอร์ขายของสารพัด มีร้านขายยาใกล้ ๆ ด้วยคือดีมาก แล้วที่พักก็น่ารัก แบ่งสัดส่วนดี มีทั้งโซฟาสำหรับนั่งเล่น โต๊ะกินข้าว เตียงสองชั้น ตู้เย็น ไมโครเวฟ เตาไฟฟ้าและอุปกรณ์ทำกับข้าวทั้งหมดเลย น้ำยาล้างจานก็มี เครื่องซักผ้า ราวตากผ้า มีครบ

นั่งพักได้ครู่เดียวก็ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว แต่วันนี้คงไปไหนไม่ได้ไกล ชาวคณะจึงไปเดินสำรวจย่านสถานีอูเอโนะ (Ueno) ก่อน เพราะเป็นแหล่งที่มีร้านต่าง ๆ เยอะ และใกล้กับที่พัก แค่นั่งรถไฟไป 2 สถานีเท่านั้นเอง และมื้อแรกที่ญี่ปุ่นแบบสุ่ม ๆ ของจาก็คือ อุด้ง ซุปเนื้อ และของทอดนานาชนิด อากาศเย็น ๆ ซดน้ำซุปอุ่น ๆ ช่างฟินเหลือเกินค่ะ

พอกินเสร็จคราวนี้พวกเราก็ไปเดินเล่นที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตกันค่ะ จานี่ตาวาวมาก เพราะเวลาอยู่ไทยก็เป็นคนที่ชอบเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตมาก แล้วพอได้เดินที่ญี่ปุ่น จาอยากจะหยิบทุกอย่างเลยจริง ๆ เห็นอะไรก็น่ากิน อยากลองไปหมด แต่ก็ซื้อกลับมาแค่พอประมาณเท่านั้น พยายามยับยั้งชั่งใจอยู่ ฮ่าาาาา แล้ววันนี้ก็จบวันที่หนึ่ง กลับที่พักไปกินขนมที่ซื้อมาต่อ แล้วค่อยนอน 55555555

วันที่ 2 เราเริ่มต้นวันโดยการไปสะพานข้ามแม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) ที่อยู่ตรงตึกอาซาฮี (Asahi) ค่ะ ที่ตอนแรกจามองเป็นก้อนอุนจิ 😳 555555 (ก็มันแอบคล้าย) บนสะพานอากาศดีมากลมเย็นสบาย แต่แดดออกจะแรงแสบผิวสักหน่อย 555555

พอเดินเล่นรับลมสักพัก แล้วเราก็เดินต่อไปอีกนิดไปที่วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) ในย่านอาซากุสะ (Asakusa) วันที่จาไปเป็นวันเสาร์คนเยอะมาก แน่นขนัดไปหมด เราเข้าไปไหว้พระกันก่อน เพราะร้านสองข้างทางคนเยอะมาก ตอนแรกคิดว่าค่อยออกมาซื้อเครื่องรางแต่เดิน (กิน) เพลินจนลืมไปเลย ณ ตอนนั้นที่วัดกำลังมีงานวัดพอดี มีของมาขาย ทำให้ได้บรรยากาศงานวัดแบบญี่ปุ่นด้วย แอบชี้พิกัดขนมปังเมล่อนข้างวัด อร่อยมาก เป็นก้อนกลม ชิ้นใหญ่ ข้างนอกกรอบ ข้างในนุ่มฟู อันเดียวไม่พอต้องขอเพิ่มเลยจริง ๆ แถวค่อนข้างจะยาวสักหน่อยแต่รอไม่นานเลย

และเดินถัดมาอีกหน่อยก็มีเนื้อทอดเจ้าดัง แถวยาวอีกเช่นกัน แต่ก็รอไม่นานเหมือนกันเลย อร่อยจริง จะเป็นเนื้อสับผสมกับหอมใหญ่ หอมเนื้อ และได้ความหวานจากหอมใหญ่ แต่ถ้ากินเยอะ ๆ ก็แอบเลี่ยนอยู่นะคะ สำหรับจา 1 ชิ้นกำลังดี

เติมพลังมื้อเที่ยงกันไปแล้ว ก็พากันเดินไปต่อที่ โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) พอได้ขึ้นไปมองจากข้างบนแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในเมืองของเล่นเลยค่ะ บ้านเมืองดูเป็นระเบียบมาก แล้ววิวก็สวยมากเลย มองไปไกลสุดลูกหูลูกตา

ก่อนจะกลับแอบแวะไปหาโทโทโร่สักหน่อย เป็นร้านที่ขายของสตูดิโอจิบลิ ตั้งอยู่ภายในตึกเลย ของน่ารักมาก อยากได้ไปหมด แต่สรุปไม่ได้อะไรเลย 555555 เราออกมาจากตึกและรีบหาอะไรลงท้องเพราะเด็ก ๆ เริ่มจะบ่นหิวกันแล้ว แล้วมื้อนี้ก็เป็นซูชิ แทบจะถ่ายไม่ทัน เพราะพายุหิวลง ท้องอิ่มตาก็หย่อน วันนี้หมดแรงแล้ว

วันที่ 3 ต้อนรับเราด้วยฝน ใช่ค่ะฝนตกเปาะแปะตั้งแต่เช้า กว่าจะได้ออกจากห้องก็เกือบจะครึ่งวันไปแล้ว และจุดหมายก็คือ สวนสัตว์อูเอโนะ (Ueno Zoo) เรื่องดีของฝนในวันนี้ก็คือพอตอนเช้าฝนตก ตอนบ่ายเราจึงเดินกันได้แบบสบาย ๆ ไม่มีแดด อากาศเย็น ในนี้มีพื้นที่กว้างมาก แต่ด้วยเวลาอันจำกัดเลยเดินได้แค่ส่วนข้างหน้าเอง ถ้าใครจะตามไปที่นี่จาแนะนำว่าต้องไปตั้งแต่เช้านะคะถึงจะคุ้ม

จากนั้นเราก็ไปต่อกันที่ National Museum of Nature and Science จุดที่มีวาฬสีน้ำเงินตัวใหญ่ตั้งอยู่นั่นเอง จริง ๆ ย่านนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์อื่นที่อยู่ใกล้ ๆ กันอีก เสมือนเป็นย่านรวมพิพิธภัณฑ์จริง ๆ แต่แค่จาเข้า 2 ที่ก็เดินขาลากแล้ว ตอนเดินกลับออกมาบรรยากาศสองข้างทางก็ร่มรื่นเขียวขจี เหมาะกับเป็นสถานที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจลอยไปกับบรรยากาศ ด้านหน้าจารู้สึกจะมีหอศิลป์มีคนมานั่งเล่นเปียโน แล้วก็มีทั้งคนมายืนฟัง มายืนเต้นด้วย น่ารักมาก

เวลาก็ล่วงเลยมาถึงมื้อเย็น เราตั้งใจจะไปกินเนื้อย่างร้านดังที่คนไทยรีวิว แต่พอไปถึงร้านก็กลับต้องอกหัก เพราะต้องจองมาล่วงหน้าก่อน ตอนนี้คิวเต็มหมดแล้ว เดินคอตกถัดมาได้ไม่ไกล จาเลยชวนชาวทริปเข้าร้านเนื้อทอดแบบสุ่ม ๆ (อีกแล้ว) เพราะตอนนั้นเด็ก ๆ หิวมาก แล้วร้านนี้ก็ไม่มีคน จาคิดว่าน่าจะไม่ต้องรอคิวนาน เลยเลือกร้านนี้ แต่ทุกคนน!!! มันอร่อยมากกกกจริง ๆ ใครสายเนื้อจาแนะนำเลยค่ะ อยู่ย่านอูเอโนะ (Ueno) เช่นกันค่ะ

ร้าน Aona Ueno Tokyo

เริ่มวันที่ 4 วันนี้เราเริ่มต้นวันก็บ่ายไปแล้ว เพราะเนื่องจากเมื่อวานใช้งานเท้าหนักไปหน่อย เด็ก ๆ และผู้ใหญ่เลยต้องพักผ่อนอยู่ห้องสักครึ่งวัน และในขณะพักก็ไม่รอช้าพี่สะใภ้จารีบกดจองร้านเนื้อย่างร้านดังไว้เป็นที่เรียบร้อยสำหรับมื้อเย็นในวันนี้ คราวนี้ก็ถึงเวลาของคนโตบ้าง วันนี้เราไปฮาราจูกุ (Harajuku) กันค่ะ เวลาแห่งการช็อปปิ้งก็เริ่มขึ้น แล้วก็จบด้วยรองเท้า 1 คู่ กว่าจะได้ใช้เวลาเลือกนานมาก ไปหลายร้านเลย 555555

แล้วก็จวนจะได้เวลาที่จองคิวไว้แล้ว ก็เลยกลับไปที่อูเอโนะ (Ueno) เพื่อไปร้านเนื้อย่าง ร้านนี้ชื่อว่า Bou-ya ทันทีที่เนื้อมาเสิร์ฟ จารู้เลยว่าอร่อยแน่! แล้วก็จริงดังหวังค่ะ อร่อยมากจริง ๆ ปริ่มใจแล้ววันนี้ นอนหลับฝันดีแน่นอน 555555

เติมพลังแล้วก่อนกลับก็แวะไปโยโดบาชิ-อากิบะ (Yodobashi-Akiba) สักหน่อย ที่นี่เป็นแหล่งรวมของเล่น เกมต่าง ๆ เหล่าเครื่องเขียนหลากหลายประเภทไว้ด้วยกัน พี่ชายจาเดินนำลิ่ววว เหมือนเห็นสวรรค์ เดินตามไม่ทันแล้วค่าาา จบวันไว้ที่นี่แล้วกัน เพราะผู้ใหญ่จะรีบวิ่งไปหาของเล่น 55555555

วันที่ 5 ครึ่งทางของการมาญี่ปุ่นแล้ว! วันนี้เราจะไปพิพิธภัณฑ์รถไฟกัน เราต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานีโอมิยะ (Omiya) พอไปถึงได้กลิ่นหอม ๆ ก็ลองไปซื้อมาชิม (แบบสุ่ม ๆ อีกแล้วววว) สรุปอร่อยย ต้องซื้อเพิ่มอีกถุงเลย เด็ก ๆ ชอบมาก

แล้วก็นั่งรถไฟต่อไปอีกไม่กี่สถานีก็ถึงพิพิธภัณฑ์ สองแสบวิ่งเล่นกันสนุกมาก ในนี้เขาจะมีให้เราจองรอบเพื่อทดลองเป็นคนขับรถไฟด้วยนะ แล้วก็จะมีทดลองให้ออกตั๋วเอง ให้ขับชินคันเซนก็มี กิจกรรมเยอะมาก วันนี้เลยเป็นสวรรค์ของเด็ก ๆ ไปเลย

ขากลับเรากลับมาซื้อของกินรองท้องที่เล็งไว้ตั้งแต่ขาไปกัน 555555 ข้าวกล่องน่ากินไปสะหมด เลือกไม่ถูกเลย อันที่จริงมีเยอะกว่าในคลิปเยอะเลยนะ

และที่บอกว่ารองท้องเพราะว่ามื้อเย็นเรามีนัดกับเพื่อนพี่สะใภ้ของจานั้นเอง วันนี้เราจะได้ไปกินโอโคโนมิยากิกับมอนจายากิกัน เป็นร้าน Local ของคนญี่ปุ่นเลย เมนูก็ไม่มีภาษาอังกฤษสักตัว และในร้านก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เป็นคนญี่ปุ่นทุกโต๊ะ ส่วนบรรยากาศเป็นยังไง ให้คลิปนี้เล่าเรื่องเลยแล้วกันนะ

อันที่จริงจาประทับใจวันนี้มาก รถรางที่เห็นในคลิปเป็นรถรางสายเดียวที่ยังใช้อยู่ในโตเกียวแล้วค่ะ แล้วบรรยากาศสองข้างทางก็สวยมาก ดอกกุหลาบดอกเบอเลิ่มเทิ่ม ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่เรามาถึง ท้องฟ้าเป็น Vanilla Sky สวยที่สุด จบวันแบบอิ่มแปล้ อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจ  😛

วันที่ 6 ไปดูกันดั้มกัน!! วันนี้เราพากันนั่งรถไฟไปโยโกฮามา (Yokohama) เพื่อพาหลานชายสุดที่รักไปดูการ์ตูนที่เขาชอบ รวมถึงพ่อของหลานจาด้วย (พี่จาเอง 555555) ตัวนี้ตั้งอยู่ริมทะเล ใกล้ ๆ กับท่าเรือ แล้วก็ตัวใหญ่มาก ขยับได้ด้วย และจะมีการแสดงเป็นรอบ ๆ ไป ถ้าใครจะเข้าไปดูต้องซื้อตั๋วเข้า แต่หากอยากใกล้ชิดขึ้นไปดุบนหอคอยใกล้กับตัวกันดั้มก็จะต้องซื้อตั๋วอีกราคาหนึ่งที่แพงกว่า (มากเหมือนกันนะคะ 5555) ส่วนเราดูข้างล่างก็พอแล้ว

แล้วทุกคนก็ตกลงกันว่า ไหน ๆ ก็มาที่นี่แล้ว เราจะไปที่ Yokohama Hakkeijima Sea Paradise กัน ที่นี่จะเป็นเหมือนอควอเรียม แล้วก็มีโชว์จากโลมาด้วย สัตว์ที่นี่อลังการมากเลยค่ะ ตัวใหญ่มาก แล้วก็มีความหลากหลาย แต่จาไม่ค่อยได้ถ่ายมา ตกตะลึกกับฉลามตัวเบิ้ม ทั้ง 3-4 ตัวอยู่ ใหญ่มากกกกกกกกกก แบบตะโกน

เราใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอสมควรเลยทีเดียว พอเดินกลับออกมาจะมีสะพานข้ามน้ำ ตรงนี้จะสามารถมองเห็นฟูจิซังตัวน้อย ๆ ด้วยนะคะ ถึงแม้ครั้งนี้จะยังไม่ได้ไปฟูจิ แต่เห็นจากตรงนี้ก็น่ารักไปอีกแบบเหมือนกัน

วันที่ 7 แล้วววววว วันนี้เราตั้งใจไป teamLab แต่กลับต้องผิดหวัง เนื่องด้วยอาทิตย์นี้เป็น Golden week ของญี่ปุ่น ทำให้ทุกรอบถูกจองเต็มทั้งหมด รวมถึงรอบในวันถัดไปด้วย ว่างอีกครั้งก็เป็นวันที่เรากลับไทยกันแล้ว จึงได้แค่ถ่ายรูปด้านหน้าไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง

เราก็เลยนั่งรถไฟกลับมาช็อปปิ้งที่ย่านฮาราจูกุ (Harajuku) เหมือนเดิม 55555 และเท่านั้นไม่พอค่ะ ไปต่อที่ชินจูกุ (Shinjuku) เพราะเราจะไปดูก็อตซิล่ากัน!!! และกินข้าวเย็นแถวย่านนี้ แต่ก่อนจะเจอกับก็อตสิล่า ก็จะต้องเจอเจ้าแมวสามสี 3D ตัวนี้ก่อน ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งหนึ่ง น้องน่ารักจริง ๆ ใครที่ผ่านไปผ่านมาแถวนี้ก็ต้องถูกสะกดไว้ทั้งนั้น

เดินมาอีกไม่ไกลก็เจอแล้วค่ะ ก็อตสิล่า ตะกายตึก แอรรรรรรรรรร๊ (เสียงก็อตสิล่า) 5555555 เท่านี้แหละที่มา 55555555

ได้เวลากินข้าวเย็นอีกแล้ว เนื้อย่างอีกครั้งนะคะ (อร่อยค่ะ แต่ Bou-ya อร่อยกว่า 55555)

อิ่มจนหนังท้องตึง ก็มีพลังกลับห้องไปนอนแล้ว 😛

วันที่ 8 Free day วันนี้เราไม่มีแพลนทำอะไรมาก เป็นวันที่นอนตื่นสาย ให้เด็ก ๆ และพี่สะใภ้นอนพักผ่อนอยู่ห้อง ส่วนจาและพี่ชาย ก็ออกไปซื้อของตามใบรายการสั่งซื้อตอนเช้า และกลับมาในช่วงบ่าย ๆ เพื่อเตรียมตัวไปกิน Bou-ya (อีกรอบ) มันอร่อยจริง ๆ ค่ะ จาคอนเฟิร์ม อิ่มของคาวแล้ว ก่อนกลับไปเก็บของ แพ็กกระเป๋า ก็ขอแวะชิม Melon Frappuchino ของเจ้าดังอย่าง Starbucks สักหน่อย พอชิมอึกแรกแล้วในใจก็คิดว่า ทำไมไม่ชิมตั้งแต่วันแรกแร๊ก อร่อยอีกแล้วค่ะทุกคน หอมสดชื่นมากกกก ปริ่มใจ

วันที่ 9 วันสุดท้ายที่ญี่ปุ่นแล้ว วันนี้เราออกมากันตั้งแต่สาย ๆ เพื่อเผื่อเวลาเดินทางไปสนามบิน เพื่อไปช็อปต่อในสนามบินค่ะ 5555555 แล้วก็ได้เวลากลับบ้านจริง ๆ บ๊ายบายนะเจแปน เราประทับใจในตัวเธอมาก เพราะร้านอาหารของเธอสุ่มเข้าได้อร่อยหมด (ประสบการณ์ยังไม่เจอไม่อร่อย 555) สัญญาว่าจะเก็บเงินแล้วกลับมาใหม่นะ แล้วเจอกัน!

จริณ.