วนอุทยานเขากระโดง

เมื่อลูกชายพาไปดูการแข่งรถที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ตั้งใจว่าจะอยู่ในสนามกับลูกวันเดียว นอกนั้นจะหาที่เที่ยวใกล้ ๆ สนาม ซึ่งก่อนไปก็วางแผนว่าจะไป วนอุทยานเขากระโดง ทีมีวัดและโบราณสถาน ขับรถกันไปเกือบ  6  ชั่วโมง ก่อนเข้าที่พัก ลูกก็พาขับรถไปดูสนามก่อน เห็นป้ายรายทางบอกมีอีกหลายที่เราคิดว่าจะไปเที่ยวได้ แต่ลูกบอกว่า ยังอีกไกลนะแม่ (เลยเก็บไว้คิดดูก่อน เพราะไม่กล้าขับรถไปคนเดียว ด้วยไม่ชินทางและไม่มีทักษะในการใช้ Google map แต่มีภาวะในการหลงทิศทางอยู่เสมอ) เมื่อผ่านวนอุทยานเขากระโดง เล็งจากถนนเห็นมีพระพุทธรูปใหญ่ บนภูเขา ซุ้มทางเข้ามีลักษณะที่เป็นปราสาทหิน ทำให้คิดว่า นี่แหละที่จะมาเที่ยว ลูกขับรถผ่านสนามแข่ง ชี้ชวนให้ดูสิ่งที่ตัวเองชอบ เราก็เออออไป แล้วเลยไปที่พักที่จองไว้

ทีแรกกะว่าจะขับรถไปเอง แต่พอตอนเช้าก็นึก ๆ แล้ว จำทางไม่ได้ เลยให้ลูกไปส่ง แล้วบอกว่าแม่คงอยู่ได้นาน เดี๋ยวเที่ยง ๆ จะโทรศัพท์หา ด้วยลูกชายเข้าใจดีว่าแม่ไม่ได้แกล้งในการไม่มีความมั่นใจเรื่องทิศทาง จึงไปส่งแต่เช้าประมาณ 7 โมงเช้า ตัวเองลงรถแล้วก็ตั้งใจว่า จะขึ้นไปไหว้พระก่อน แล้วไปดูปล่องภูเขาไฟ เดินไปยืนดูอยู่ที่เชิงบันไดขึ้นเขา ที่สูงขึ้นไปลิบ ๆ ถอนหายใจแล้วพิจารณาสังขารของตัวเองว่า จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ ใจหนึ่งก็ไม่ค่อยอยากเสี่ยง กลัวจะวิบ ๆ อีกใจก็อยากจะลองขึ้นไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก แต่ก็ตัดใจเดินไปถามรถสองแถวที่จอดอยู่ ถามลุงคนขับรถว่า ขึ้นรถขึ้นเขากี่บาท ลุงบอกว่า 200 มั๊ง (จำไม่ค่อยได้) พาไปปล่องภูเขาไฟ พาไปไหว้พระ จะลงเมื่อไหร่ก็ได้ ลุงก็บอกว่าไม่ค่อยมีคนเลย…นึกสงสารลุง แต่ก็อยากใช้กำลังกายกำลังใจดู แล้วก็ตัดใจลองเดินขึ้นไป สักพักพอเหนื่อยแรกก็นั่งพัก พิจารณาว่าน่าจะไหวน่า ตอนเช้าอากาศกำลังดี กำลังนั่งพักมีสุนัข 2 ตัววิ่งขึ้นมา แล้วเลยไปหนึ่งตัว อีกตัวยืนรออยู่ด้วย เจ้าตัวบนเห็นเพื่อนไม่ตามก็หยุดรอสูงขึ้นไป เราจึงบอกสุนัขว่าไปเป็นเพื่อนด้วยนะ แล้วก็ขึ้นไปพร้อมกัน (พร้อมกันพักเดียว แล้วทั้ง 2 ตัวก็วิ่งไปด้วยกัน ไม่รอเราอีก…คงคิดว่า อิป้าเอ๊ย!)

         

ระหว่างเดินขึ้นบันไดนาคราช  พักเรื่อยไป ใจก็คิดถึงน้อง ๆ ที่ขวนไปขึ้นภูกระดึง ทำให้สรุปได้ว่า สังขารอย่างเราไม่ควรไปเป็นภาระให้กับน้อง ๆ จะเที่ยวก็อยู่บนพื้นราบเถอะ  พอไปถึงข้างบน ถึงพระใหญ่ มีชื่อว่าพระสุภัทรบพิตร กราบไหว้แล้ว ยืนดูวิวจากบนยอดเขาสักพัก (อ่อ ลืมบอกไปว่าเจ้าเพื่อน 2 ตัวนั้น ขึ้นมาเดินเล่นอยู่ก่อนอย่างสบายใจ)

                ใกล้ ๆ พระใหญ่ มีต้นโยนีปีศาจ ตามคำอธิบายบอกว่า เป็นต้นไม้ในตำนานเมืองบุรีรัมย์ ปรากฎในวรรณกรรมท้องถิ่นเรื่องปาจิต-อรพิม ผลของต้นโยนีปีศาจ เมื่อสุกเต็มที่จะแตกออกมีลักษณะคล้ายโยนี ในภาษาท้องถิ่นเขมรเรียกว่า ขะนุย หรือ มะกอกโคก

เดินต่อไปดูปากปล่องภูเขาไฟ มีปากปล่องทะลุเห็นได้ชัดเจน เป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก อายุประมาณ 300,000 ถึง 900,000 ปี เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิท หาข้อมูลอ่าน ได้ความว่า วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง เดิมชาวบ้านเรียกว่า พนมกระดอง เป็นภาษาเขมร แปลว่า ภูเขากระดอง(เต่า) เพราะมีลักษณะคล้ายกระดองเต่า ต่อมาจึงเรียกเพี้ยนเป็นกระโดง มีเนื้อที่กว่าพันไร่

 

นั่งพักจนหายเหนื่อย แล้วเดินกลับลงมาตามทางรถยนต์ จนถึงวัดกระโดงที่อยู่เชิงเขา ตั้งใจว่าจะไปไหว้พระ แต่พอเดินเข้าไปในวัด ที่ไม่มีใครเป็นเพื่อนเลย รู้สึกว่าเราเป็นคนแปลกหน้า มีแต่คนงานทำงานอยู่ จึงไม่กล้าเดินสำรวจตามใจตนเอง สรุปว่าเรากลับลงมาก่อนเที่ยง แล้วให้ลูกมารับกลับไปที่สนาม ดูรถแข่งต่อไป

 

อ้างอิง

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2020, มกราคม 8). ตามรอยภูเขาไฟที่วนอุทยานเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์. https://thai.tourismthailand.org/Articles/ตามรอยภูเขาไฟที่วนอุทยานเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์