ครั้งนึงในชีวิต ได้เป็นผู้พิชิตภูกระดึง


จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้เริ่มจากสัญญาใจเมื่อหลายปีก่อน (ก่อนที่จะมีโควิด-19 เข้ามาในชีวิต) มีพี่สาวที่ทำงานท่านนึง ได้เอื้อนเอ่ยชวนให้ไปเที่ยวภูกระดึงด้วยกัน แต่ด้วยตอนนั้นว่าลูกยังเล็ก ป๊าก็ไปอยู่บนสวรรค์ จนมาช่วงโควิดระบาด ทำให้ได้แต่เก็บสัญญาใจนั้นเรื่อยมา

จนกระทั่งปีนี้ ปี 2566 เป็นปีที่เริ่มรู้สึกว่าอายุมากขึ้น อยากพาตัวเองออกไปเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มสีสันให้กับชีวิตมากขึ้น และพี่สาวคนเดิมได้มาเอื้อนเอ่ยอีกครั้ง ถามมาว่าพร้อมจะไปหรือยัง คราวนี้จึงตอบไปอย่างไม่ลังเลว่า พร้อมค่า

เมื่อตอบตกลงใจกันไปแล้วจึงมาคุยกันถึงช่วงวันที่จะเดินทาง ดูทั้งเรื่องงานและเรื่องที่บ้านแล้ว สรุปกันได้ว่าขอทำงานใหญ่ (งานทับแก้วบุ๊คแฟร์ ครั้งที่ 15) ให้ผ่านพ้นไปด้วยดีก่อน จึงกำหนดทริปนี้เป็นวันที่ 17-21 กุมภาพันธ์ 2566  เมื่อกำหนดวันได้แล้วก็ชวนสมัครพรรคพวกชวนกันไปลำบากด้วยกัน จาก 2 คน เป็น 3  4  5  6 และจบลงที่ 7 คน  7 สาว ที่มีอายุเป็นเพียงตัวเลข มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ “ครั้งนึงในชีวิต ได้เป็นผู้พิชิตภูกระดึง”

หลังจากคุยกันเรื่องวันเวลาได้แล้ว ก็แต่งตั้งประธานกลุ่ม รองประธาน และเหรัญญิกผู้เก็บเงินเป็นกองกลางและดูแลค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้

เริ่มแรก – พวกเราตกลงใจกันว่าจะเดินทางด้วยรถทัวร์ เพื่อลดปัญหาความเหนื่อยล้าจากการขับรถทั้งขาไปและขากลับ จากนั้นเริ่มจองตั๋วรถทัวร์ผ่านระบบออนไลน์ ปัญหาแรกที่พบ ก็คือ ในการจองตั๋วรถทัวร์จะจองได้สูงสุดเพียงครั้งละ 4 เท่านั้น เกิดความลังเลว่า หากจองคนละรอบแล้วเดินทางไม่พร้อมกันหรือขึ้นรถคนละคัน จึงโทรสอบถามไปยังบริษัทที่ทำการจองตั๋วก็ได้รับคำตอบว่าให้จอง 2 ครั้ง ไม่สามารถจองเกิน 4 คน/ครั้งได้  พวกเราเลยทำการจอง 2 เครื่องพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้ระบุเที่ยวรถ และที่นั่งให้เดินทางไปได้พร้อมกัน  ในการจองตั๋วจะต้องใช้ ชื่อ-นามสกุล และเลขที่บัตรประชาชน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการทำประกันการเดินทางของแต่ละที่นั่ง (ต้องนั่งตามเลขที่นั่งของตัวเอง) เมื่อจองตั๋ว ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว เมื่อจองเรียบร้อยแล้วจะมีรายละเอียดการจองส่งเข้าทาง e-mail อย่าลืมพิมพ์รายการจองเพื่อนำไปรับตั๋วในวันเดินทางค่ะ

สามารถจองรถได้ที่ จองตั๋วรถทัวร์ออนไลน์ (xn--72cb4befma0fcvqd5eia0de16a9d1ag.net)

การเตรียมตัวก่อนเดินทาง – ในกลุ่มจะมีประธานกลุ่ม เป็นผู้แนะนำว่าจะต้องต้องเตรียมอะไรไปบ้าง พร้อมทั้งลิตส์รายการสิ่งของจำเป็นที่ต้องใช้มาให้ เป็นประโยชน์มาก ๆ เหรัญญิกกลุ่มได้หารถตู้เพื่อขน 7 ชีวิตพร้อมสัมภาระ เพื่อนำไปส่งที่จุดขึ้นรถ (หมอชิต 2) และยังนัดให้มารับกลับในวันที่เดินทางกลับมาถึง สมาชิกคนอื่น ๆ ก็เตรียมข้าวของ เสบียง และยาที่จำเป็น (เนื่องจากในการเดินทางไปภูกระดึงของประธานกลุ่มในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 10 พวกเราจึงยกให้เป็นผู้ชำนาญการ)

วันเดินทาง – ออกเดินทางช่วงประมาณ 18.30 น. ในวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 หลังจากทำงานเสร็จ ไปรับลูกชายที่โรงเรียนและกลับไปส่งที่บ้านและฝากลูกเข้าโครงการฝากลูกไว้กับแม่

จากนครปฐม ไปกรุงเทพฯ (หมอชิต 2)  จากกรุงเทพฯ ไปเลย (จอดรถที่จุดจอดรถผานกเค้า/ร้านเจ๊กิม) เพื่อพักเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ชาร์ตแบตโทรศัพท์ ทานข้าว เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะเรียกรถแดงไปส่งที่ทำการอุทยาน (ตีนภูกระดึง) ค่ารถคนละ 50 บาท

เมื่อไปถึงที่ทำการอุทยาน (ด้านล่าง) – ซื้อบัตรเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท + 10 บาท เป็นค่าประกันชีวิตในการเดินขึ้นภูกระดึง เจ้าหน้าที่แนะนำให้เราถ่ายรูปบัตรเข้าอุทยานและบัตรประกันชีวิตเก็บไว้เผื่อสูญหาย  และติดต่อเช่าเต็นท์ในราคา 2,025 บาท จำนวน 3 หลัง 3 คืน

ลูกหาบ – เมื่อกองสัมภาระรวมกันเพื่อชั่งน้ำหนัก เพราะเราจะจ้างลูกหาบช่วยเราขนขึ้นไป ในอัตรากิโลกรัมละ 30 บาท กลุ่มของเราน้ำหนักสัมภาระขาขึ้นอยู่ที่ 69 กิโลกรัม (จากที่สอบถามมา ค่าลูกหาบจะได้เต็มไม่โดนหัก ในราคากิโลกรัมละ 30 บาท ส่วนอุทยานจะเก็บเฉพาะค่าบัตรติดกระเป๋าใบละ 5 บาท)

พร้อมแล้วกับการเดินขึ้นภู – พวกเราแวะกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านล่างเพื่อเป็นสิริมงคล เพิ่มขวัญกำลังใจ และสิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือ ไม้วิเศษ ไม้เท้าไม้ไผ่ที่กองอยู่บริเวณทางขึ้น เลือกอันที่ชอบ เหมาะกับมือแล้ว ก็พร้อมลุยกันค่ะ

ระหว่างการเดินทาง-กลุ่มเน้นแวะพักทุกจุด ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก แวะถ่ายรูป แวะพูดคุยกับชาวบ้านที่ที่ทุกซำ (ชาวบ้านที่นี่น่ารักทุกคน) การเดินทางเต็มไปด้วยความเหนื่อย เมื่อย ล้า แต่ก็เต็มไปด้วยความสนุกสนานตลอดทาง

พวกเราใช้เวลาเดินทางจากตีนภูจนถึงด้านบน ตั้งแต่เวลา 8.30 ถึงที่ทำการอุทยานด้านบนเกือบ 4 โมงเย็น เมื่อไปถึงเราทุกคนต่างปรบมือให้กับความพยายามของตัวเองและเพื่อน ๆ พวกเราเก่งมาก 55555 หลังจากนั้นต้องมาติดต่อรับหมายเลขเต็นท์ เช่าหมอน ถุงนอน แผ่นปูนอน และไปรับสัมภาระและจ่ายเงินค่าลูกหาบ

การใช้ชีวิตข้างบนภูกระดึง – เรื่องอาหารการกินส่วนใหญ่ เราจะฝากท้องไว้กับร้านประจำของประธานกลุ่ม ร้านพี่ธรรม เป็นร้านอาหารปักษ์ใต้ ที่ทำอาหารได้อร่อยทุกอย่างจริง ๆ เมนูเด็ด คือ กระเพราโบราณราดข้าว จานละ 60 บาท แต่ปริมาณเกินราคา รสชาติอาหารที่นี่ก็ถูกปาก เรียกว่ากินอิ่มอร่อยทุกมื้อ อากาศก็เย็นสบายทั้งวันแม้จะมีแดด แต่ตอนกลางคืนก็หนาว-หนาวมาก

เรานอนเต็นท์ทั้ง 3 คืน เต็นท์ก็อยู่ไม่ไกลจากห้องน้ำ เต็นท์/ที่นอน นอนหลับสบาย แต่กลางคืนเงียบมาก จะได้ยินเสียงสัตว์ต่าง ๆ บางคืนน้องกวางก็มาดึง มามุดเต็นท์ทำเอาผวาอยู่เหมือนกัน เป็นการเปิดประสบการณ์มาก ๆ

กิจกรรมด้านบน มีหลายอย่างให้ทำเลย อย่างวันแรก เวลา 05.30 น. มีเจ้าหน้าที่อุทยานพาเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น (แต่พวกสาวอายุน้อยขออนุญาตนอนรอนะคะ ไม่สู้ตื่นเช้าและอากาศหนาวค่ะ) ช่วงสายหลังจากมื้อเช้า พวกเราเช่าจักรยานล้อใหญ่ ค่าเช่าวันละ 410 บาท/คัน พร้อมถุงมือ ปั่นไปเที่ยวตามผาต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่ผาหมากดูก ผาแดง ผานาน้อย ผาจำศีล และผาสุดท้าย เป็นจุดที่พระอาทิตย์ตกดินสวยที่สุด ก็คือ ผาหล่มสัก (แนะนำให้ทานเยนตาโฟร้านเจ๊ตุ๊กค่ะ ครบเครื่องและอร่อยมาก)

อีกวันเราเดินเท้าไปไหว้พระพุทธเมตตา เที่ยวน้ำตก และไปนั่งปิกนิกอาหารกลางวันกันที่สระอโนดาต ส่วนขากลับแวะนั่งสมาธิที่ลานพระพุทธเมตตา และแวะไปชมวิวที่อ่างเก็บน้ำ

วันเดินทางลงภู – หลังจากชั่งน้ำหนักสัมภาระให้ลูกหาบ น้ำหนักสัมภาระขาลง ลดไปนิดหน่อย เมื่อคืนอุปกรณ์เต็นท์เสร็จ ก็เดินลงภูกันเลย ตอนลงใช้เวลาเร็วกว่าตอนขึ้น แต่ด้วยความที่ตอนลงเส้นทางส่วนใหญ่ลาดชัน ทำให้ต้องเกร็งขา จิกเท้าตลอดการเดินเพื่อป้องกันอันตรายจากการลื่น ไม่ให้ไถลตัวลงมา ระหว่างทางก็แวะทักทายกับคนที่เดินสวนขึ้นมาอย่างผู้มีประสบการณ์อาบน้ำร้อนมาก่อน555  ให้กำลังใจกันไปทั้งตัวเองและคนอื่น

เราเดินลงมาถึงด้านล่างประมาณ 15.00 น. ก็มารับสัมภาระที่ลูกหาบมานั่งรอนานแล้ว หลังจากนั้นก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวกลับไปจุดรอรถที่ผานกเค้า/ร้านเจ๊กิม ที่เดิม หาของอร่อยกินกันแล้วก็รอรถทัวร์  เมื่อขึ้นรถทัวร์แล้วพวกเราก็นอนยาว ๆ จนรถมาจอดถึงหมอชิต 2 ลงจากรถทัวร์สภาพขาที่ตึงของแต่ละคน ทำให้พวกเราขอใช้บริการคน+รถเข็นของเพื่อนำทางและไปส่งที่รถตู้ของคุณลุงที่มาจอดรอรับพวกเรากลับนครปฐม เพราะแบกกันไม่ไหวแล้ว กลับมาถึงนครปฐมประมาณ 6 โมงเช้าของวันที่ 22 ก.พ.66 ก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้าน สู่โหมดมนุษย์แม่และออกมาส่งลูกไปโรงเรียน และกลับมาทำงานและใช้ชีวิตประจำวันกับสภาพร่างกายที่ตึงไปทั้งตัวอีกหลายวัน

ถึงตอนนี้ขาหายปวด ตัวหายตึงแล้ว แต่สิ่งที่ยังอยู่คือ “หลงรักภูกระดึง แบบไม่รู้ตัว” ถ้ามีโอกาสและร่างกายยังไหวก็อยากกลับไปอีกครั้ง