ทริปสายบุญ : เชียงใหม่ 2566 EP.1

ที่ตั้งชื่อ “ทริปสายบุญ” คำนี้ไม่เกินจริง จะเป็นอย่างไรนั้นวันนี้จะมาเล่าให้ฟังค่ะ ก่อนอื่นเลยขอเท้าความก่อนว่า ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ครั้งนี้ (มกราคม 2566) เราได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่มาก่อนแล้วเมื่อวันที่ 23 – 26 พฤศจิกายน 2565 เพื่อศึกษาดูงานห้องสมุดฯ ต่าง ๆ ในเขตภาคเหนือ อ่านที่… การเดินทางไปเชียงใหม่ครั้งนั้นถือเป็นทริปที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วและสั้นมาก เนื่องจากเป็นการไปศึกษาดูงานเพียงอย่างเดียว ดังนั้นในแต่ละวันก็จะเป็นการไปดูงานที่ห้องสมุดต่าง ๆ และตรงเข้าที่พักในตอนเย็นเลย เลยมีความรู้สึกว่ายังมาไปไม่ถึงเชียงใหม่ ทำให้เกิดทริปเชียงใหม่ 2566 นี้ขึ้นมา เมื่อมีความตั้งใจแล้วก็ชักชวนสมาชิกในครอบครัวออกเดินทางกันค่ะ

เนื่องจากเรามีเด็กเดินทางไปด้วย เราจึงออกเดินทางเราโดยเริ่มต้นที่จังหวัดลพบุรี เราแวะไปนอนพักที่บ้านคุณยายกันก่อน 1 คืน และเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าวันที่ 12 มกราคม 2566 เวลา 06.30 น. เส้นทางที่เราเลือกใช้คือ ถนนพหลโยธินหมายเลข 1 ขับผ่านจังหวัดนครสววรค์ แล้วไปแวะพักทานอาหารกลางวันที่จังหวัดพิษณุโลก จากนั้นขับตรงยาวจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ จะแวะระหว่างทางเพื่อเข้าห้องน้ำและยืดเส้นยืดสายเท่านั้น เราเดินทางถึงที่พักจังหวัดเชียงใหม่เวลา 18.30 น. ถือว่าเป็นการเดินทางที่ยาวนานมาก (12 ชม.) ครั้งนี้เราเลือกพักที่ “นันทราเชียงใหม่ริเวอร์ฟร้อนท์” ทั้ง 3 คืน ตลอดการเดินทาง ที่พักราคาไม่แพง สะอาด สะดวกสบาย ที่สำคัญติดริมแม่น้ำปิงอีกด้วย รายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/NantraChiangmaiRiverfront

หลังจากผ่านการเดินทางที่แสนยาวนาน เราจึงอยากหาอะไรทานแบบง่าย ๆ ใกล้ที่พัก น้องพนักงานที่โรงแรมก็ใจดีมากแนะนำร้านข้าวต้มที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก ขับรถ 2-3 นาที ก็ถึงแล้ว น้องพนักงานยังแนะนำให้ไปเดินคลองแม่ข่าที่อยู่ห่างออกไปจากร้านข้าวต้มไม่เกิน 5 นาที ในการเดินเที่ยวที่คลองแม่ข่านั้นน้องบอกว่าใช้เวลาเดินเที่ยวไม่เกิน 30 นาที ก็น่าจะเสร็จแล้วเราจึงตัดสินใจไปทานข้าวก่อน แล้วจึงไปเดินเที่ยวต่อ

ร้านที่ได้รับการแนะนำจากน้องพนักงานที่โรงแรมคือ ร้านข้าวต้มชาววัง ดูเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/RanXahar/ ร้านนี้เป็นร้านข้าวต้มกลางคืนที่มีเมนูหลากหลาย ด้วยความหิวเราจึงสั่งไป 4 – 5 อย่าง เมื่อเติมพลังเสร็จแล้วก็ไปเดินต่อกันที่ คลองแม่ข่า ที่ว่ากันว่าเป็นแลนด์มาร์กใหม่ถ่ายรูปสวยสุดฟิน ได้ฟีลเหมือนอยู่ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ห่างจากร้านข้าวที่เราไปประมาณ 1 กิโลเมตรเท่านั้น คลองนี้เป็นคลองสายเล็กๆ ระยะทางประมาณ 750 เมตร ที่ได้รับการปรับปรุงให้สะอาดตา ริมขอบของแม่น้ำมีการนำก่อซีรีนบล็อกคอนกรีต วางเรียงตัวกันอย่างสวยงาม ไว้จะมารีวิวคลองนี้อย่างละเอียดในครั้งหน้าค่ะ พอเราเดินจนครบแล้วก็พาร่างที่อ่อนแรงกลับที่พักพร้อมลุยในวันต่อไป

เช้าวันที่ 2 (13 มกราคม 2566) หลังจากตื่นมาและทานอาหารเช้าและชมวิวแม่น้ำปิงกันเรียบร้อยก็ถึงเวลาหาที่เที่ยวกัน ทริปนี้เป็นเหมือนปุบปับทัวร์ เรามากันแบบไร้การวางแผนใด ๆ ดังนั้นเพื่อความเป็นศิริมงคลเราจึงเริ่มด้วยการเที่ยววัดที่อยู่ใกล้ ๆ กับที่พัก เราจึงพบกับ “วัดทรายมูลเมือง” ไม่รอช้าเราก็ออกเดินทางไปกราบไหว้บูชาไหว้พระขอพร หลวงพี่ที่ประจำวัดเล่าว่าผู้ที่มากราบไหว้จะนิยมถวายข้าวสาร พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งเชื่อกันว่าก็เพื่อให้เงินไหลมาเทมามีกินมีใช้ไม่ขาดตลอดชีวิต นอกจากนี้วัดนี้ยังมี องค์ท้าวเวสสุวรรณ อายุเก่าแก่กว่าร้อยปีให้กราบไหว้ขอพรอีกด้วย

หลังจากไหว้พระที่วัดทรายมูลเมืองเรียบร้อยแล้วและขับรถออกมาเพื่อหาสถานที่เที่ยวต่อไป ก็ไปสะดุดตากับสถานที่แห่งหนึ่งเราจึงเลี้ยวรถเข้าไป มาทราบภายหลังว่าสถานที่แห่งนี้คือ “เสาอินทขิล” หรือ “เสาหลักเมือง” ของเมืองเชียงใหม่ โดยบริเวณด้านข้างซ้าย ขวา จะมีกุมภัณฑ์ ผู้รักษาเสาอินทขีล 2 ตน นามว่า “พญายักขราช” และ “พญาอมรเทพ” ซึ่งข้อมูลนี้ได้มาจากพี่ ๆ ที่จำหน่ายข้าวของเครื่องบูชาให้แก่ผู้ที่มากราบไหว้ ณ สถานที่แห่งนี้ พี่ ๆ ยังบอกถึงวิธีกราบกราบไหว้ ขอพร ขอโชคลาภ แถมยังเล่าประวัติของกุมภัณฑ์ทั้ง 2 ตน ให้ฟังอีก ฟังแล้วก็ไม่รอช้าจัดเครื่องไหว้กันยกใหญ่ สายมูอย่างเราต้องไม่พลาดอยู่แล้วค่ะ

   

ภายในบริเวณเสาหลักเมือง ตรงด้านหลังจะเป็น “วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร” ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ในจังหวัดเชียงใหม่ แต่ในวันที่เราเดินทางไปนั้นวัดกำลังอยู่ระหว่างการบูรณะ เราจึงไหว้อยู่ด้านนอกไม่ได้เข้าบริเวณด้านในซึ่งเป็นพื้นที่ก่อสร้าง หลังจากไหว้พระเรียบร้อยก็แวะไปถ่ายรูปที่ประตูท่าแพกันก่อนที่จะหาอะไรทานในตอนกลางวัน ในครั้งก่อนที่มาจังหวัดเชียงใหม่ รู้สึกติดใจกับร้านข้าวซอยร้านหนึ่งแต่จำพิกัดร้านไม่ได้ว่าเป็นสาขาใด เพราะร้านนี้มีหลายสาขามากเลยเสี่ยงดวงและมาจบที่ ร้านนี้ “ข้าวซอยลำดวนฟ้าฮ่ามเชียงใหม่” สาขาเจริญราษฎร์ ทานเสร็จก็แวะไปเดินเล่นที่นิมมานเหมินท์ เชียงใหม่ เพื่อรอเวลาหาอะไรทานในช่วงเย็น

พอถึงช่วงเย็น เรามาอยู่ที่ถนนหลัง ม. เชียงใหม่ ที่ว่ากันว่ามีของกินให้เลือกมากมาย และตั้งใจว่าจะไปทานสุกี้ช้างเผือกสาขาหลัง ม. แต่ด้วยความที่ร้านนี้ดังและปัง ทำให้รอคิวกว่า 30 คิว ในเมื่อเรารอไม่ไหวก็ต้องหาร้านอื่นทาน เราจบที่ร้าน “สีฟ้าข้าวมันไก่ & สุกี้” ที่อยู่ไม่ไกลจากสุกี้ช้างเผือกมากนักและแวะไปทานของหวานต่อที่ “ขนมแม่” ที่อยากบอกว่าอร่อยมาก อร่อยแบบตะโกน เป็นอีกร้านที่อยากปักหมุดในใจว่าถ้ามีโอกาสจะแวะไปอีก ขนมบัวลอยที่หนุบหนับ ไอศครีมกะทิที่หอมหวาน โดยรวมคือดีทุกอย่าง ดูเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/KanomMae2019 ได้เลยค่ะ

       

อย่างที่บอกว่าทริปนี้เป็นปุบปับทัวร์ ไม่ได้แพลนอะไรใด ๆ ไว้ล่วงหน้า ว่าเราจะทานอาหารเย็นและขนมหวานไปแล้ว แต่เราก็สามารถมาต่อปิ้งย่างได้อีก เรียกได้ว่าเจอร้านไหนถูกใจเราก็แวะไปได้เรื่อย ๆ โดยร้านต่อมาที่เราแวะไปเพราะทนความเก๋ของร้านไม่ไหว นั่นคือร้าน “City Camp” Camping Theme Cafe & Restaurant & Bar in Chiangmai บรรยากาศของร้านเป็นแบบแคมป์ปิ้ง มีเต็นท์ มีโต๊ะสนาม มีกองไฟ ฯลฯ ดีไซน์คล้าย ๆ กับบรรยากาศเวลาที่เราไปออกแคมป์กับเพื่อน ๆ ร้านจะไม่จัดโต๊ะชิดกันจนเกินไป เลยทำให้รู้สึกว่าค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัว กับบรรยากาศใต้ต้นไม้ใหญ่ นอกจากนั้นทางร้านก็ยังมีโซนให้เด็ก ๆ วิ่งเล่น นั่งชิงช้า โดยที่เราก็นั่งดูใกล้ ๆ ได้ ในวันที่ไปนั้นอากาศในช่วงกลางวันเย็นสบาย แต่พอตกดึกโดยเฉพาะตอนที่เราไปนั่งที่ City camp นั้น อุณหภูมิอยู่ที่ 18 องศา บรรยากาศดีมาก ๆ เลยค่ะ

เพื่อไม่ให้เนื้อหายาวมากจนเกินไปและจะได้ลงรูปกันแบบจุใจ ขออนุญาตเล่าต่อ EP.2 นะคะ